GLC 250 d รถอเนกประสงค์ใหม่ “เมดอินไทยแลนด์”

เทรนด์ยอดนิยมของโลกยานยนต์ยุคใหม่ ส่วนใหญ่จะเน้นผลิตรถยนต์อเนกประสงค์ เพื่อการใช้งานหลากหลาย บางครั้งจะเพิ่มกลิ่นอายของความสปอร์ตเสริมเข้าไป จึงไม่น่าแปลกใจเมื่อบรรดาค่ายรถยนต์น้อยใหญ่ ต่างเดินหน้าผลิตรถอเนกประสงค์รุ่นต่างๆ ออกมามากมายในช่วงไม่กี่ปีมานี้

สำหรับค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ ผลิตรถอเนกประสงค์ออกมาหลายรุ่น แต่รุ่นที่มีการกล่าวขวัญถึงกันมาก เพราะเป็นรถที่สามารถประกอบในประเทศไทย สะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมประกอบยานยนต์ในประเทศไทยไม่ธรรมดา แม้ว่าชิ้นส่วนหลายอย่างจะยังคงต้องนำเข้ามาจากเยอรมนี

เมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่น GLC คือยนตรกรรมอเนกประสงค์ประกอบในประเทศไทยรุ่นล่าสุด มาพร้อมกับอุปกรณ์เพิ่มสมรรถนะการขับขี่ทั้งทางเรียบทางออฟโรด อุปกรณ์เพิ่มความสะดวกสบาย อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย เรียกว่าขนมากันแบบครบเครื่อง

250d-3

Advertisement

ถ้าพูดถึงรูปร่างหน้าตา ออกจะให้อารมณ์บึกบึนแข็งแกร่งทันสมัย กระจังหน้าแบบสามมิติ มีสัญลักษณ์โลโก้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ขนาดใหญ่ตรงกลางบนลาย 2 แถบ เสริมไฟหน้าแบบ แอลอีดี อินเทลลิเจนท์ ไลท์ ซิสเต็มและไฟ เดย์ไทม์ สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ แอลอีดี ไฟเบอร์-ออพติก

ด้านท้ายเพิ่มความแข็งแกร่งดุดันด้วยปลายท่อไอเสียตกแต่งด้วยสแตนเลส 2 ท่อ พร้อมด้วยยางรถยนต์แบบรัน-แฟลต ไทร์ส ติดตั้งแผ่นป้องกันใต้กันชนหน้า-หลัง ตกแต่งด้วยโครเมียม เพื่อการลุยได้อย่างมั่นใจ ไฟท้ายแบบ LED

250d-6

Advertisement

รุ่นที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลซี 250 ดี โฟร์เมติก ออฟโรด (GLC 250 d 4MATIC OFF-ROAD) รุ่นประกอบในประเทศไทย จะแตกต่างจากรุ่นนำเข้า เช่น ล้อ19 นิ้ว แบบ 5 ก้าน กล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอย ม่านบังแดดประตูหลังซ้าย-ขวา ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย ทัชแพด (touchpad) บันไดข้างสแตนเลสดีไซน์สปอร์ตพร้อมปุ่มยางกันลื่น ฟังก์ชั่นปรับสมดุลอากาศภายในห้องโดยสาร (AIR BALANCE package)

ดีไซน์ภายในออกแบบเน้นความหรูหราทันสมัย ไม่ให้เสียชื่อรถตระกูลดาวสามแฉก แถมยังเพิ่มกลิ่นอายของความสปอร์ต เบาะภายในโทนสีดำตัดน้ำตาล ประดับด้วยลายไม้แบบ โอเพ่น-พอร์ บราวน์ แอช วู้ด (Open-pore brown ash wood) พร้อมพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับระดับได้ด้วยระบบไฟฟ้า ระบบวิทยุ-ซีดี เอ็มบี ออดิโอ 20 (MB Audio 20) ระบบแผนที่นำทางการ์มิน ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบบลูทูธ

250d-1

 

โครงสร้างตัวถัง GLC ถือว่าเป็นนวัตกรรมของโลกยานยนต์ เพราะโครงสร้างน้ำหนักเบาผสานด้วยการใช้วัสดุแบบอะลูมิเนียมและโลหะความทนทานสูง ทำให้น้ำหนักของตัวรถเบา ช่วยลดการใช้พลังงานลงกว่าร้อยละ 19 และทำให้อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลงร้อยละ 19 เช่นกัน ผ่านมาตรฐานปริมาณไอเสียยูโร 6

มิติตัวรถใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นเดิม ยาว 4,656 มม. กว้าง 1,890 มม. และฐานล้อ 2,873 มม. ขยายพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารด้านหลังเพิ่มขึ้นอีก 34 มม. ทำให้เนื้อที่สำหรับที่นั่งตอนหลังดูกว้าง นั่งสบาย เข้าออกห้องโดยสารสะดวกขึ้น

เบาะนั่งด้านหลังพับได้ทั้ง 1/3 2/3 เพื่อเพิ่มพื้นที่จัดเก็บของ มีแผ่นปิดที่เก็บสัมภาระท้าย ระบบเปิด-ปิดฝาท้ายอัตโนมัติ แผ่นรองกันกระแทกบริเวณที่เก็บสัมภาระท้ายรถแบบเมทัลลิก เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การขับขี่ในทุกรูปแบบ

250d-5

 

สำหรับเทคโนโลยีการขับขี่ รุ่นนี้ไม่น้อยหน้าใคร มาพร้อมกับระบบไดนามิก ซีเล็กต์ (Dynamic Select) มีโหมดการขับขี่ 5 แบบ คือ อีโค (Eco) ช่วยปรับการขับขี่เข้าสู่ระบบประหยัดน้ำมัน อินดิวิดวล (Individual) สามารถบันทึกรูปแบบการขับขี่ที่ผู้ขับขี่กำหนดไว้ได้ คอมฟอร์ต (Comfort) ช่วงล่างจะนุ่มนวล ช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกผ่อนคลาย สะดวกสบายเหมือนขับรถซาลูน สปอร์ต (Sport) และสปอร์ต พลัส (Sport+) เน้นเพิ่มความเร้าใจในกับการขับขี่ แถมยังมีระบบช่วยในการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติอีกต่างหาก

เครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 4 สูบ เกียร์อัตโนมัติ แบบไนน์จี-ทรอนิก (9G-TRONIC) ความจุกระบอกสูบ 2143 ซีซี กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ความเร็วรอบ 3,800 รอบ/นาที แรงบิด 500 นิวตันเมตร ที่ความเร็วรอบ 1,600-1,800 รอบต่อนาที ถือว่าให้พละกำลังมหาศาลในช่วงความเร็วรอบต่ำ มีผลช่วยให้ประหยัดพลังงาน ส่วนอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7.6 วินาที ถือว่าไม่ธรรมดา แม้ว่ารูปร่างจะค่อนข้างใหญ่ ความเร็วสูงสุด 222 กม./ชม.

250d-2

GLC 250 d 4 MATIC OFF-ROAD มาแบบจัดเต็มขนาดนี้ ราคาค่าตัวอยู่ที่ 3,240,000 บาท เป็นการปรับราคาลงมาหลังจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดไลน์ประกอบรุ่นนี้ในประเทศไทย ทำให้ไม่โดนภาษีนำเข้า ลดต้นทุนไปได้หลายปั้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image