‘อาวดี้ Q5’ ปลั๊กอินไฮบริด ชูทีเด็ด ‘สปอร์ตเอสยูวีหรู’

‘อาวดี้ Q5’ ปลั๊กอินไฮบริด ชูทีเด็ด ‘สปอร์ตเอสยูวีหรู’

‘อาวดี้ Q5’ ปลั๊กอินไฮบริด ชูทีเด็ด ‘สปอร์ตเอสยูวีหรู’

ตลาดรถยนต์เอสยูวีหรูบ้านเรา ต้องยอมรับว่ามีให้เลือกมากมายหลายยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อล้วนมีจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกัน แต่สิ่งสำคัญขึ้นกับรสนิยมการใช้รถของแต่ละคน ยิ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ด้านความพึงพอใจอาจจะมีน้ำหนักกว่ากลุ่มอื่น

รถยนต์ อาวดี้ ก็เป็นอีกตัวเลือกที่ลูกค้ารถหรู กลุ่มคนนิยมรถยนต์คุณภาพ รู้จักกันดี โดยเฉพาะตลาดประเทศไทย อาวดี้ ประเทศไทย นำเข้ารถยนต์คุณภาพจากเยอรมนี มาจำหน่าย ภายใต้การสนับสนุนของ อาวดี้ เอจี บริษัทแม่จากเยอรมนี จึงทำให้สู้กับค่ายรถยนต์หรูอื่นๆ ได้อย่างถึงพริกถึงขิง และระยะหลังเริ่มดีวันดีคืนขึ้นมาเรื่อยๆ

อย่างล่าสุด ตอกย้ำความเป็นผู้นำเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า นำทัพรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นที่ 3 เจเนอเรชั่นล่าสุด เปิดตัวพร้อมกันรัวๆ 2 รุ่นหลัก 3 รุ่นย่อย คือ การเปิดตัวครั้งแรกของ สปอร์ต เอสยูวี ขนาดกลาง อาวดี้ คิว5 สปอร์ตแบ๊ก 55 ทีเอฟเอสไอ อี (Audi Q5 Sportback 55 TFSI e) และ อาวดี้ คิว5 55 ทีเอฟเอสไอ อี (Audi Q5 55 TFSI e) ราคาเริ่มต้น 3,699,000 บาท เผยมั่นใจ Audi Plug-in Hybrid เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ ด้วยระยะการวิ่งด้วยไฟฟ้าที่เหมาะกับการใช้งานในเมือง สอดคล้องกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่รถไฟฟ้า 100% อย่างเต็มรูปแบบ

Advertisement

Audi Q5 55 TFSI e quattro และ Audi Q5 Sportback 55 TFSI e quattro มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 2.0 TFSI ให้กำลังสูงสุด 265 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร กับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร เมื่อผนวกพละกำลังกันแล้ว ทำให้มีกำลังแรงม้า รวมสูงสุดถึง 367 แรงม้าแรงบิดสูงสุดถึง 500 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์ 7 สปีด S tronic

ส่งกำลังผ่านระบบ ควอทโทร วิธ อัลทรา เทคโนโลยี (quattro with ultra technology) สามารถปรับให้ขับเคลื่อนแค่ล้อหน้าได้กรณีไม่จำเป็นต้องใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน และเปลี่ยนเป็นระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อได้ทันที เมื่อจำเป็น

นอกจากนี้ ยังมีแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน อยู่ใต้ที่เก็บสัมภาระท้ายรถ ผลิตจาก พริสเมติก เซลล์ (prismatic cell) จำนวน 104 เซลล์ ความจุพลังงานแบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงสูงขนาด 17.9 กิโลวัตต์ ทำให้อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 52.6 กิโลเมตรต่อลิตร และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เพียง 44.5 กรัมต่อกิโลเมตร

Advertisement

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 5.3 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 239 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเมื่อใช้กำลังจากแบตเตอรี่ไฟฟ้าอย่างเดียว วิ่งได้ไกล 54.3 กิโลเมตร และความเร็วสูงสุดของมอเตอร์ไฟฟ้าอยู่ที่ 135 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากความเร็วมากกว่านั้น เครื่องยนต์จะติดขึ้นมาเพื่อเสริมแรงบิดร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า

เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดใน Q5 ถูกออกแบบมาให้มีความฉลาดสุดๆ ภายใต้โหมดการขับขี่หลากหลาย เพื่อต้องการตอบโจทย์การขับขี่ทั้งแบบในเมืองด้วยระบบไฟฟ้าล้วน ทางไกล หรือการขับขี่แบบสปอร์ต ที่สำคัญประหยัดน้ำมัน เพราะถูกออกแบบมาให้ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน ด้วยโหมด EV ใช้ไฟฟ้าล้วนเป็นส่วนใหญ่ เมื่อต้องใช้งานระยะทางไกล ก็เลือกใช้โหมดแบบ Auto ได้

ขณะที่หากต้องการความรู้สึกแบบสปอร์ตและความสนุกสนานในการขับขี่ ก็สามารถเลือกโหมด Dynamic จะมีการทำงานร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ให้ได้กำลังสูงสุด สำหรับใครที่ต้องการปรับการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ให้เหมาะกับสไตล์ตัวเอง ก็สามารถตั้งค่าโหมดแบบ Individual ได้ด้วย

ส่วนการจัดการพลังงานแบบ Hybrid แบ่งออกเป็น 3 โหมดด้วยกัน โหมดแรกคือ Auto Hybrid ตัวรถจะจัดการการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าอัตโนมัติ ตามสภาวะการขับขี่ โหมดที่สองคือ Battery Hold เป็นโหมดรักษาระดับพลังงานของแบตเตอรี่ไว้ให้คงเดิม และโหมดสุดท้าย Battery Charge ตัวรถจะชาร์จแบตเตอรี่ให้มากที่สุด เครื่องยนต์จะมีบทบาทในการทำงานมากขึ้น

การนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ (Energy Recuperation) ใน Q5 ปลั๊กอินไฮบริด ถูกออกแบบมาให้ทำงานเมื่อผู้ขับขี่ถอนคันเร่งระบบจะประมวลผลการขับขี่ตามสถานการณ์ เพื่อชาร์จไฟคืนกลับสู่แบตเตอรี่ มี 2 รูปแบบ คือ การปล่อยให้รถวิ่งในลักษณะลอยตัว (Coasting Recuperation) มอเตอร์ไฟฟ้าจะลดความเร็วลง จากนั้นระบบจะแปลงเป็นการชาร์จไฟคืนกลับสู่แบตเตอรี่ได้ถึง 25 กิโลวัตต์ และการเบรกชะลอความเร็วด้วยการหน่วงของมอเตอร์ไฟฟ้า (Brake Recuperation) เมื่อผู้ขับขี่เหยียบเบรก เพื่อให้รถชะลอความเร็ว จะชาร์จไฟคืนกลับสู่แบตเตอรี่ได้ถึง 80 กิโลวัตต์

ทั้ง 2 รุ่นติดตั้งแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ขนาด 17.9 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง มาพร้อมกับ ออน บอร์ด ชาร์จเจอร์ (on board charger) ขนาด 7.4 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ใช้เวลาชาร์จประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง เมื่อชาร์จด้วยระบบไฟ อินดัสเทรียล ที่มีแรงดันไฟฟ้า 400 โวลต์ 16 แอมป์ หรือ วอลบ็อกซ์ ที่มีกำลังไฟ 7.4 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง เป็นต้นไปมาพร้อมกับเครื่องชาร์จแบบคอมแพกต์ สำหรับการชาร์จด้วยไฟบ้าน

Audi Q5 55 TFSI e มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย คือ เอส ไลน์ (S line) และ เอส ไลน์ แบล๊ก อิดิชั่น (S line black edition) ในรุ่น S line เป็นรุ่นเริ่มต้น แต่มีชุดแต่ง S line สี โครเมียม พร้อมกับล้อขนาด 19 นิ้ว มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพียงพอต่อการใช้งาน เช่น ไฟหน้าแอลอีดี มาพร้อมไฟเดย์ไทม์ เปิดปิดไฟหน้าและปัดน้ำฝนอัตโนมัติ เบาะคู่หน้าแบบสปอร์ตปรับไฟฟ้า ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ ควบคุมอุณหภูมิแยกอิสระ 3 โซน ระบบช่วยปรับอุณหภูมิในห้องโดยสารก่อนเริ่มขับขี่ คอมฟอร์ต คีย์ และ เวอร์ช่วล ค็อกพิท ขนาด 12.3 นิ้ว

ขณะที่ รุ่น S line Black Edition มาพร้อมกับความสปอร์ต ด้วยล้อขนาด 20 นิ้ว และชุดแต่ง S line Black Edition ถูกตกแต่งด้วยขอบคิ้วกระจกและช่องลมต่างๆ สีดำ ต่างจากตัวเริ่มต้น ที่เป็นสี โครเมียม ภายในเป็นแบบ S line ด้วยเช่นเดียวกัน พวงมาลัยแบบสปอร์ตท้ายตัด พร้อมสัญลักษณ์ S line เบาะแบบ Sport ลาย ไดมอนด์ คัต หุ้มหนัง ไฟน์ แนปป้า พร้อมสัญลักษณ์ S line ระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียม แบงก์ แอนด์ โอลุฟเฟ่น (Bang&Olufsen) พร้อมระบบ 3 มิติ และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ประกอบไปด้วย ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน (Lane change assist) ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อจะเปิดประตูลงจากรถ (Exit warning) ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง (Rear cross-traffic assist)

Audi Q5 55 TFSI e quattro S line ราคา 3,699,000 บาท Audi Q5 55 TFSI e quattro S line Black Edition ราคา 3,950,000 บาท Audi Q5 Sportback 55 TFSI e quattro S line Black Edition ราคา 4,190,000 บาท

ถือว่าเป็นรถเอสยูวีหรูแถวหน้า ขับสนุก ทั้งวิ่งทางไกลและในเมือง มาทั้งสมรรถนะการขับขี่แน่นหนึบสไตล์รถเยอรมัน ความคล่องตัวในการควบคุมรถ ความสะดวกสบายและเทคโนโลยีทัยสมัยไม่เป็นรองใคร เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนในสำหรับกลุ่มลูกค้ารถหรูที่ชอบขับรถท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ

นายพล

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image