‘คลัง’ เจ้าพ่อบุญทุ่ม เทกว่า7หมื่นล. แจกไม่อั้น ทั้งช้อป-ตรุษจีน ซื้อใจ36ล้านคน

ช่วงนี้กระทรวงการคลังปล่อยมาตรการของขวัญและกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเป็นระลอก ทุกมาตรการสร้างเสียงฮือฮาไม่น้อย ไล่ไปตั้งแต่คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ให้คนจน มาตรการช่วยเหลือคนจน ผู้สูงอายุ และข้าราชการบำนาญ มาตรการช้อปช่วยชาติในสินค้า 3 กลุ่มคือ ล้อยางรถ
หนังสือ โอท็อป ล่าสุดมาตรการคืนแวต 5% ให้ผู้ใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิต ช่วงตรุษจีน

คืนแวตคนจนไม่ปัง
เริ่มจากมาตรการคืนแวตคนจนที่ถือบัตรสวัสดิการ 14.5 ล้านคน เป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561-30 เมษายน 2562 กำหนดคืนแวตไม่เกิน 5% จากแวตที่เก็บ 7% รวมถึงกำหนดวงเงินคืนต่อคนต่อเดือนไม่เกิน 500 บาท คาดว่าจะต้องใช้งบประมาณไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท
คนที่อยากได้เงินคืน 500 บาทต่อเดือน ต้องใช้จ่ายเดือนละเกือบ
1 หมื่นบาท และต้องเป็นสินค้ามีแวตเท่านั้น ตรงนี้ไม่รวมกะปิ น้ำปลา ข้าวสาร ผัก เป็นสินค้าที่ไม่เสียแวต แต่จำเป็นต่อการดำรงชีพที่คนจนซื้อมากสุด ดังนั้น คงมีคนจนซื้อสินค้าเดือนละเป็นหมื่นบาทเพื่อให้ได้แวตคืน 500 บาทไม่กี่คน จึงทำให้มีตัวเลขการใช้จ่ายระยะแรกเริ่มตั้งวันที่ 1-14 พฤศจิกายน 2561 มีการใช้จ่ายเพื่อขอคืนแวต 5.57 แสนราย เป็นเงินกว่า 145 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 260 บาทต่อคน มีจำนวนแวต 7% กว่า 9 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 16 บาทต่อคนเท่านั้น

โครงการนี้ดูเหมือนง่ายแต่การใช้จ่ายต้องใส่เงินเข้าไปในบัตรก่อน จึงนำไปรูดซื้อสินค้ายังร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ล่าสุดมีร้านธงฟ้าและร้านค้าเอกชน ที่จดทะเบียนแวตเข้าร่วมโครงการคืนแวตคนจนไม่ถึง 5,000 แห่ง เพราะร้านค้าต้องเข้าสู่ระบบภาษีด้วยการจดทะเบียนแวต นอกจากนี้ต้องติดตั้งเครื่องบันทึกการเก็บเงิน (Point Of Sale : POS) เพื่อให้สามารถแยกแวตออกจากราคาสินค้า และส่งข้อมูลมายังกรมบัญชีกลาง ร้านค้ากังวลว่ากรมสรรพากรมาตามรีดภาษีในภายหลัง จึงเข้าร่วมโครงการน้อย

โปรยของขวัญปีใหม่
เมื่อมาตรการคืนแวตคนจนไม่ปัง กระทรวงการคลังทุ่มแจกปีใหม่สูงถึง 5.87 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มคนจนถือบัตรสวัสดิการ 3.87 หมื่นล้านบาท กลุ่มข้าราชการบำนาญ 2 หมื่นล้านบาท มีผู้ได้ประโยชน์เกือบ 15 ล้านคน เริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561-กันยายน 2562 เป็นเวลา 10 เดือน
มาตรการมีทั้งหมด 4 มาตรการ คือ ช่วยค่าไฟ 230 บาทต่อเดือน ช่วยค่าน้ำ 100 บาทต่อเดือน เป็นค่าน้ำค่าไฟในเดือนธันวาคมเป็นต้นไป

Advertisement

แต่จะเริ่มจ่ายเงินเข้าบัตรวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562, แจกเงินให้กับผู้ถือบัตรทุกคนวงเงิน 500 บาทต่อคนในเดือนธันวาคมครั้งเดียว สามารถนำไปซื้อสินค้าและบริการหรือกดเป็นเงินสดก็ได้ เริ่มใส่เงินเข้าไปในบัตรสวัสดิการ วันที่ 8-10 ธันวาคม 2561, ให้ค่าเดินทางไปโรงพยาบาล สำหรับคนสูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป 1,000 บาทต่อคน จ่ายเข้าบัตร วันที่ 21 ธันวาคม 2561, ช่วยค่าเช่าบ้านแก่ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เดือนละ 400 บาท เริ่มจ่ายเข้าบัตรเดือนแรกวันที่ 12 ธันวาคม 2561

นอกจากนี้กระทรวงการคลังออกมาตรการช่วยเหลือข้าราชการบำนาญ อายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป ให้เงินเพิ่มอีกไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคน มีข้าราชการบำนาญอายุ 70 ปีขึ้นไป จำนวน 1.59 แสนคน ได้รับเงินดังกล่าว ส่วนข้าราชการบำนาญรายได้ต่ำเพิ่มเป็นเดือนเดือนละ 1 หมื่นบาท มีข้าราชการในกลุ่มนี้ 5.27 หมื่นคน

ฟื้นช้อปช่วยชาติปี3
เมื่อถูกกล่าวหาว่าทำเพื่อคนจนมากไป กระทรวงการคลังออกมาตรการเอาใจคนชั้นกลาง ด้วยมาตรการช้อปช่วยชาติปีที่ 3 แม้ว่าในช่วงต้นปีจนถึงกลางปี คนกระทรวงการคลังตั้งแต่ระดับรัฐมนตรียันเจ้าหน้าที่ ยืนยัน
เสียงแข็งว่าปีนี้จะไม่มีมาตรการช้อปช่วยชาติออกมาอีก เพราะเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวดีแล้วไม่อยากให้คนเสพติดมาตรการเกินไป

Advertisement

แต่เมื่อตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 3/2561 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.หรือสภาพัฒน์) เปิดออกมาต่ำเพียง 3.3% ทำให้คนคลังถูกคนทำเนียบไล่บี้ว่าต้องมีมาตรการเพิ่มเติมออกมา คนคลังจึงกลืนน้ำลายตัวเอง ประกาศทำมาตรการลดหย่อนภาษีจากช้อปช่วยชาติ 3 กลุ่มสินค้า คือ ยางรถ หนังสือ โอท็อป วงเงินไม่เกิน 15,000 บาท คาดว่าจะเสนอ ครม.เห็นชอบวันที่ 4 ธันวาคม เพื่อให้เริ่มช้อป 1 เดือน ในวันที่ 15 ธันวาคม 2561-16 มกราคม 2562 โดยให้เหตุผลว่าต้องการช่วยเหลือในกลุ่มที่เดือดร้อน เช่น ยางราคาตก ช่วยโอท็อปด้านการตลาด และส่งเสริมให้คนอ่านหนังสือ

มาตรการช้อปในปีที่ผ่านมาทำให้กรมสรรพากรสูญเสียรายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท มีผู้เสียภาษีมาใช้สิทธิลดหย่อนประมาณ 1.4 ล้านคน คาดว่าปีนี้จำนวนผู้ใช้สิทธิใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้กรมสรรพากรประเมินสูญเสียรายได้ประมาณ 1,600 ล้านบาท เนื่องจากจำกัดประเภทสินค้า

แจกอั่งเปาตรุษจีน
คงยังไม่หนำใจ กระทรวงการคลังออกมาตรการอั่งเปาตรุษจีน ด้วยการคืนแวต 5% ให้กับประชาชนจับจ่ายใช้สอยผ่านบัตรเดบิตในสินค้าที่มีแวตไม่เกิน 20,000 บาทต่อคน ตั้งแต่วันที่ 1-15 กุมภาพันธ์ 2562 คิดเป็นเงินได้คืนสูงสุดไม่เกิน 1,000 บาทต่อคน โดยจะคืนผ่านอีเพย์เมนต์ที่ลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชน คลังเตรียมขอเงินจาก ครม.เพื่อคืนแวต 1 หมื่นล้านบาท เป็นการขอเผื่อไว้จากคาดว่าจะใช้เงินประมาณ 6-7 พันล้านบาท ประเมินว่าจะมีประชาชนเข้าร่วมโครงการประมาณ 10-20 ล้านคน จากบัตรเดบิตในระบบล่าสุด 58 ล้านใบ มีประชาชนลงทะเบียนพร้อมเพย์ 45 ล้านบัญชี

เดิมทีมาตรการนี้จะทำช่วงปีใหม่พร้อมๆ กับโครงการช้อปช่วยชาติ แต่การจัดทำระบบกลางขึ้นมารองรับข้อมูลการใช้จ่ายบัตรเดบิต ต้องใช้เวลา รวมถึงต้องหารือกับธนาคารเจ้าของบัตรให้นำส่งข้อมูลบัตรเดบิตเข้าในระบบกลาง ต้องทำระบบเพื่อให้คนเข้าร่วมโครงการลงทะเบียนยินยอมให้กระทรวงการคลังเข้าไปตรวจสอบการใช้จ่ายเพื่อคืนเงิน โดยไม่ต้องยื่นเอกสารขอคืนเงิน แค่นำบัตรเดบิตไปรูดซื้อสินค้ากระทรวงการคลังสามารถประมวลผลคืนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ทันที

แม้ว่าจะเสียเงินไป 1 หมื่นล้านบาท กระทรวงการคลังมองว่าคุ้ม เนื่องจากข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตทำให้กระทรวงการคลังขยายฐานภาษีได้ เพราะเมื่อมีการเชื่อมข้อมูลซื้อขายในระบบอิเล็กทรอนิกส์กับระบบภาษีของกรมสรรพากรยิ่งทำให้กรมสรรพากรไปตามเก็บภาษีร้านค้าที่จ่ายภาษีไม่ครบง่ายขึ้น

นอกจากนี้ คาดหวังว่าช่วยกระตุ้นให้เกิดการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบอีเพย์เมนต์ โดยกระทรวงการคลังเตรียมหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมในการจัดทำบัตรเดบิต เพื่อกระตุ้นประชาชนเข้าร่วมโครงการ ส่งเสริมนโยบายสังคมไร้เงินสดของกระทรวงการคลัง ที่ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผลักดันมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงานในกระทรวงการคลัง

ปฏิเสธไม่ได้เป็นมาตรการหาเสียง
แน่นอนเมื่อมาตรการออกมาช่วงใกล้เลือกตั้ง คงหนีไม่พ้นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลทำเพื่อหาเสียง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธทันทีเมื่อถูกถามถึงเรื่องนี้ โดยบอกว่าการช่วยเหลือคนจน คนชราให้การบ้านกระทรวงการคลังมาเป็นปีแล้ว และเพิ่งทำเสร็จ โดยยืนยันว่ามาตรการที่ออกมาเพื่อมาดูแลกลุ่มคนที่ต้องการดูแล ไม่ใช่มาตรการที่ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือหาเสียง และยืนยันว่ามาตรการที่ออกมานั้นไม่กระทบงบประมาณ โดยเงินช่วยคนจนนำมาจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม มีเงินถึง 1 แสนล้านบาท

“การแจก 500 บาทต่อคนถือเป็นการช่วยเหลือปลายปี เพราะตลอดทั้งปีเขาลำบาก ตรงนี้เป็นเงินไม่มาก ส่วนข้าราชการเกษียณที่เงินเดือนไม่ถึง 1 หมื่นบาทต่อเดือน ให้ถึง 1 หมื่นบาทต่อเดือน เพื่อให้เขาอยู่ได้ เป็นสิ่งที่เขาต้องการ”Ž นายสมคิดกล่าว

ด้าน นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวยืนยันว่า มาตรการต่างๆ ที่ออกมานั้น ไม่ได้ทำเพื่อการหาเสียง แต่เป็นโครงการต่อเนื่องที่ทำมาตลอด โดย 2 ปีก่อนทำช้อปช่วยชาติ เพราะการบริโภคลดลงหรืออยู่ที่ 1% แต่ขณะนี้การบริโภคอยู่ที่ 4% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ในบางสินค้ายังต้องช่วยเหลือจึงจำเป็นต้องทำต่อ ส่วนมาตรการคืนแวต เพื่อพยุงให้เศรษฐกิจในปีนี้และปีหน้าขยายตัวเกิน 4% โดยขณะนี้มั่นใจว่าปีนี้จะขยายระดับ 4% ต้นๆ

นายอภิศักดิ์กล่าวต่อถึงการช่วยเหลือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐว่า กระทรวงการคลังจะเสนอ ครม. เร็วๆ นี้ เพื่อแจกซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือให้ผู้มีรายได้น้อยใช้อินเตอร์เน็ตฟรี ส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นในการประกอบอาชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิต ให้หลุดพ้นความจน ขณะนี้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กำลังพิจารณารายละเอียดและงบประมาณ คาดว่าจะสรุปได้ในเร็วๆ นี้ เพราะเรื่องนี้กระทรวงการคลังเสนอให้พิจารณามานาน 6 เดือนแล้ว

ทีดีอาร์ไอมองเพื่อเลือกตั้ง
ในมุมมองของนักวิชาการถึงมาตรการของกระทรวงการคลัง นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า มาตรการที่กระทรวงการคลังออกมาตีความได้อย่างเดียวว่าทำเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ยิ่งใกล้เลือกตั้งรัฐบาลทำทุกวิถีทางเพื่อให้ชนะเลือกตั้ง
มองว่าไม่แปลก เพราะทุกรัฐบาลทำแบบนี้เพื่อสร้างฐานเสียงทางการเมือง

ทั้งนี้ การช่วยเหลือคนจนมีมุมมองต้องช่วยเพราะมีปัญหารายรับไม่พอรายจ่าย รัฐบาลต้องเข้าไปช่วยเพื่อมนุษยธรรม

ส่วนกรณีช้อปช่วยชาติกำหนด 3 สินค้า ในเรื่องล้อรถยาง คงอยากไปช่วยชาวสวนยางจากปัญหาราคายางตกต่ำ ถือเป็นเรื่องไม่เสียหาย แต่มองว่าไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และบางกลุ่มมีแนวคิดที่จะซื้ออยู่แล้ว ต้องดูว่ามาตรการที่ออกมานั้นดึงให้กลุ่มใหม่มาซื้อได้หรือไม่ สำหรับหนังสือ และโอท็อปที่เข้าไปช่วยนั้น มองว่าไม่ได้มีมูลเหตุที่ควรเข้าไปช่วย การช่วยหนังสือถือว่าไปช่วยภาคธุรกิจมากกว่า ส่วนโอท็อปเป็นการช่วยที่ไม่สอดคล้องกับปัญหาของสินค้าโอท็อปที่แท้จริง เพราะแค่กระตุ้นไปซื้อลดหย่อนภาษี คงแก้ปัญหาตลาดโอท็อปได้ยาก

สำหรับการคืนแวตให้คนใช้บัตรเดบิตนั้น มองว่าไม่น่าจะใช่หน้าที่ของกระทรวงการคลังในการไปกระตุ้น ควรเป็นหน้าที่ผู้ประกอบการมากกว่า ขณะนี้คนเริ่มใช้อีเพย์เมนต์มากขึ้นทำไมจึงจำกัดแค่บัตรเดบิต และถ้าคิดจะคืนแวตเพื่อลดการใช้เงินสดควรคืนให้กับคนที่ใช้ออนไลน์ หรือบัตรเครดิตด้วย ส่วนที่อ้างว่าช่วยดูแลเศรษฐกิจมองว่าไม่น่าจะช่วยได้มาก

ด้าน นายนิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า มาตรการของกระทรวงการคลังและรัฐบาลออกมาช่วงนี้มองได้อย่างเดียวคือใกล้เลือกตั้ง การอ้างทำเพื่อดูแลเศรษฐกิจนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะเศรษฐกิจขณะนี้
ไม่จำเป็นต้องออกมาตรการอะไรมาช่วยดูแล ในปีนี้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวเกินกว่า 4% ซึ่งการทำมาตรการจะทำให้ประชาชนเสพติดไปแล้ว ก่อนหน้านี้บอกว่าไม่ทำช้อปช่วยชาติ กลับมาทำอีก นโยบายที่ทำสร้างภาระกับงบประมาณ ทำให้รัฐต้องเป็นหนี้ขณะนี้ไทยมีกฎหมายวินัยทางการเงินการคลังบังคับใช้แล้ว อยากให้กระทรวงการคลังเคารพกฎหมายนี้ด้วย

ห้างอัดโปรฯดึงกำลังซื้อ
ในช่วงปลายปีห้างสรรพสินค้าอัดโปรโมชั่นเพื่อดึงกำลังซื้อ ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ดึงเอกชนกว่า 30 แห่ง จัดมหกรรมลดราคา 30-70% ต้อนรับปีใหม่ ในชื่อ ลดหนัก จัดเต็ม นิวเยียร์ แกรนด์ เซลส์Ž ระหว่าง
วันที่ 13 ธันวาคม 2561- 9 มกราคม 2562 เป็นเวลา 26 วัน คาดว่าเงินสะพัดกว่า 40,000 ล้านบาท ประเมินว่าจะมีคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวจับจ่ายใช้สอยกว่า 40 ล้านคน

ส่วนห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลตั้งงบอัดโปรโมชั่นปลายปีถึง 100 ล้านบาท ผ่านมหกรรม CENTRAL/ZEN MIDNIGHT SALE ลดสูงสุดถึง 70% โดยทางเซ็นทรัลระบุว่าลดมากที่สุดในรอบ 28 ปีของแคมเปญมิดไนท์เซล นำสินค้ากว่า 3,500 ยี่ห้อมาจัดโปรโมชั่น ลดทุกวัน แจกคูปองแทนเงินสดตลอดทั้งวัน

สำหรับห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ จัด LAST MIDNIGHT SALE ลดทั้งห้าง ทุกชั้น สูงสุด 70% รวมถึงจัด BANGKOK SHOPPING FESTIVAL 2018 และ LAST BUT NOT LEAST อัดงบประมาณรวม 200 ล้านบาทจัดกิจกรรม คาดว่าจะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 5% หรือประมาณ 3,600 ล้านบาท

ส่วนเทสโก้ โลตัส เตรียมจัดโปรโมชั่นพิเศษ รองรับเทศกาลจับจ่ายของประชาชนปลายปี โดยเริ่มชดเชยเงินคืนแวต 5% ให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ใช้เงินในส่วนกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในการชำระค่าสินค้าผ่านเครื่องรูดบัตรอัตโนมัติ (อีดีซี) ที่สาขาขนาดใหญ่และขนาดกลางประมาณ 400 สาขาทั่วประเทศ ส่วนสาขาในรูปแบบเอ็กซ์เพรสซึ่งมีอยู่ 1,600 สาขาทั่วประเทศ จะเริ่มให้บริการวันที่ 15 ธันวาคมเป็นต้นไป

ด้านบิ๊กซีจัดทำโปรโมชั่นต้อนรับการใช้จ่ายของคนจน มียอดการซื้อขั้นต่ำ 1 บาทขึ้นไป รับคูปองส่วนลด 6 ใบ มูลค่าใบละ 30 บาท รวมมูลค่า 180 บาท และถ้าแสดงคูปองส่วนลดร่วมกับหมายเลขสมาชิกบิ๊กการ์ดทุกการซื้อสินค้า ที่มียอดตั้งแต่ 200 บาทขึ้นไป รับส่วนลด 30 บาททันที รับสิทธิตั้งแต่
วันที่ 1 ธันวาคมเป็นต้นไป ที่บิ๊กซี บิ๊กซีเอ็กซ์ตร้า และบิ๊กซีมาร์เก็ตทุกสาขา (ไม่รวมมินิบิ๊กซี)

ยิ่งใกล้ปีใหม่และใกล้เลือกตั้ง รัฐบาลยิ่งอัดมาตรการกระตุ้น เอาใจประชาชน เพิ่งเริ่มต้นเดือนสุดท้ายของปี รวมแล้วต้องใช้เงินกว่า 7.33 หมื่นล้านบาท มีประชาชนได้ประโยชน์รวม 36.1 ล้านคน

อย่างไรก็ตาม ประเมินกันว่ากว่าจะถึงวันเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า คงจะมีมาตรการออกมาอีกหลายล็อต เรียกว่าให้กันไปจนกว่าคนรับจะสำลักความสุข!!

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image