ผลสะเทือน ‘โน กิฟต์ โพลิซี’ งดของขวัญปีใหม่

ช่วงเทศกาลปีใหม่ หลายหน่วยงานออกประกาศข่าว ‘งดให้ งดรับ ของขวัญปีใหม่ หรือ โน กิฟต์ โพลิซี ( No Gift Policy)’ ของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชนหลายแห่ง

ขณะนี้หลายหน่วยงานเริ่มทยอยกันออกมาแล้ว อย่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยขอความร่วมมือ งดเว้นการให้ของขวัญแก่ผู้บริหารหรือพนักงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ในช่วงเทศกาลปีใหม่หรือโอกาสอื่นใด ดังที่ได้ถือปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

กลุ่มธนชาตออกข่าวประกาศเดินหน้านโยบาย ‘No Gift Policy’ รณรงค์ปลุกจิตสำนึกและสร้างวัฒนธรรมองค์กรต่อเนื่องในการงดรับของขวัญหรือของกำนัลทุกประเภทจากลูกค้า คู่ค้า เจ้าพนักงานรัฐ ตัวแทนทางธุรกิจ หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธนาคาร

ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย ออกข่าวว่า สานต่อนโยบาย No Gift Policy อย่างต่อเนื่อง โดยงดเว้นการรับของขวัญในทุกเทศกาล พร้อมย้ำแนวคิด ‘รอยยิ้มของคุณ คือของขวัญที่ดีที่สุดของเรา’

Advertisement

หรืออย่าง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกมาระบุว่า ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ป.ป.ช.ได้ถือปฏิบัติเรื่องนี้กันมาเป็นเวลานานแล้ว ช่วงเทศกาลปีใหม่พวกเราก็จะส่งบัตรอวยพร หรือส่งคำอวยพรทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้แก่ ผู้ใหญ่ ผู้บังคับบัญชา และบุคคลที่เราเคารพนับถือ หรือระลึกถึงกันมาเป็นเวลานานจนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปแล้ว

ก่อนหน้านี้แม้คณะรัฐมนตรีปี 2540 เห็นชอบในแนวคิด และต่อมากำหนดหลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินโดยธรรมจรรยาของเจ้าหน้าที่รัฐ ปี 2543 ของ ป.ป.ช. ตลอดจนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ.2544 จะเป็นกฎเหล็กในวงราชการมาร่วม 20 ปีแล้ว

นอกจากนี้องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) หรือ (Collective Action Coalition Against Corruption หรือ CAC) ก็ออกจดหมายเปิดผนึก เรื่องการประกาศนโยบาย ไม่รับ ไม่ให้ ของขวัญ

Advertisement

ในเทศกาลปีใหม่ และขอเรียกร้องให้หน่วยราชการและองค์กรของรัฐนำนโยบายงดรับของขวัญ หรือ No Gift Policy มาใช้ โดยขอความร่วมมือกำหนดให้บุคลากรในองค์กรทุกระดับ งดรับของขวัญตามเทศกาลต่างๆ พร้อมทั้งประกาศให้สาธารณชนร่วมรับทราบนโยบายดังกล่าวด้วย

ในเวลาต่อ CAC ออกมาระบุว่าการดำเนินการเรื่องนี้เป็นความริเริ่มสร้างสรรค์ ช่วยลดโอกาสของการให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่รัฐ โดยแอบแฝงไปกับการให้ของขวัญตามประเพณี และสอดคล้องกับแนวปฏิบัติของสหประชาชาติ ขอแสดงความชื่นชมหน่วยราชการและองค์กรของภาครัฐต่างๆ ได้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างสำคัญ มาแล้วในหลายปีมานี้ เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT เป็นต้น

CAC ประกาศสนับสนุนให้ดำเนินนโยบายนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรณรงค์ให้บุคลากรในองค์กรและสาธารณชนรับทราบอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังจะเข้าสู่เทศกาลปีใหม่นี้ จึงขอเชิญชวนให้กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ รวมถึงรัฐวิสาหกิจ และองค์กรมหาชนทุกแห่ง ร่วมนำนโยบายงดรับของขวัญมาใช้ เพื่อสร้างมาตรฐานที่ดี และโปร่งใสให้กับหน่วยราชการ และองค์กรภาครัฐของไทย ให้ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศต่อไป และถูกมองว่าการของขวัญในเทศกาลเป็นต้นตอของการทุจริตคอร์รัปชั่น

ขณะที่รัฐบาล ยังไม่มีประกาศแนวทางดังกล่าวให้เป็นข้อกำหนด หรือข้อปฏิบัติชัดเจน โดยอ้างว่าการมอบของขวัญในช่วงเทศกาลสำคัญต่อผู้เคารพนับถือเป็นเรื่องส่วนบุคคล อีกทั้งตามกฎหมายแล้วนักการเมืองและข้าราชการมีข้อกำหนดห้ามรับสิ่งของมูลค่า 3,000 บาทอยู่แล้ว

ย้อนไปอดีต 4-5 ปีก่อนหน้านี้ ปกติในช่วงปลายปีแบบนี้ บริษัทห้างร้านต่างๆ จะวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมของขวัญของที่ระลึก เพื่อนำไปสวัสดีปีใหม่ลูกค้า คู่ค้า ซัพพลายเออร์ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ ขององค์กรหรือหน่วยงาน

แต่สำหรับผู้ประกอบการการทำธุรกิจและค้าขายกับสินค้าในเทศกาลปีใหม่ ออกมาบ่นตั้งแต่ปี 2561 ว่านโยบาย No Gift Policy จะส่งผลกระทบต่อการทำการค้าปกติ และเกิดความสับสนในเรื่องการซื้อของเพื่ออวยพร เป็นธรรมเนียมอันดีงามที่สืบทอดกันมา และควรเป็นเรื่องปลุกจิตสำนึกผู้รับว่าควรรับหรือควรไม่รับของที่มีมูลค่าเกินจริง มากกว่าหรือไม่

จนถึงในปีนี้ เสียงบ่นเริ่มดังขึ้น เพราะยอดขายเทศกาลปีใหม่ควรจะช่วยผู้ค้าก่อนปิดปีเก่า หดหายลงมาก ประเมินกันว่าปัจจัยหลักจากนโยบายงดให้ของขวัญ ในแต่ละปีมูลค่าการซื้อขายของขวัญของชำร่วยจะมีมูลค่าเกิน 40,000 ล้านบาทต่อปี

3 เดือนสุดท้ายของปีจะเป็นการสร้างรายได้สัดส่วนถึง 1 ใน 3 และในมูลค่าตลาดรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท เป็นยอดคำสั่งซื้อจากองค์กรห้างร้านที่มีสั่งซื้อมาตั้งแต่ต้นปีเพื่อเตรียมไว้มอบปีใหม่ และมีการแข่งขันกันดีไซน์เพื่อให้ผู้รับเกิดความประทับใจ ก็หายไปทันที 40-50% ทั้งจากจำนวนชิ้นหรือชุดของขวัญลดลง และลดมูลค่าของแต่ละชุดของขวัญ

ดังนั้น ฟากผู้ประกอบการทั้งใหญ่และเล็กคงต้องมาลุ้นกันอย่างหนัก ในเรื่องกำลังซื้อประชาชนที่กำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจซบเซา และหวั่นต่อรายได้อนาคต รวมถึงค่าครองชีพและแบกรับหนี้สินครัวเรือนที่สูงขึ้น เมื่อต้องลดทอนการซื้อสินค้าเพื่ออวยพรหรือมอบให้บุคคลที่นับถือเท่าที่เห็นควรเท่านั้น

เมื่อสอบถามผู้ผลิตและห้างค้าปลีก ยอมรับว่าเป็นห่วงในเรื่องกำลังซื้อของขวัญที่หายไป ทั้งการเข้ากระแส No Gift Policy และเศรษฐกิจครัวเรือนแย่ลง ดังนั้นเพื่อรักษาฐานลูกค้าและกระตุ้นการซื้อ ทำให้ต่างต้องแข่งขันเอาเรื่องราคาถูกกว่าต่ำกว่ามาจูงใจ สุดท้ายบางรายเหลือเพียงต้นทุน

จากคำบอกเล่าของ นายกสมาคมของขวัญของชำร่วยไทยและของตกแต่งบ้าน จิรบูลย์ วิทยสิงห์ ระบุไว้ชัดเจนว่า จากการที่หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชน ได้ดำเนินนโยบาย No Gift Policy ยังคงส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ประกอบธุรกิจกระเช้าของขวัญ ของชำร่วย รวมถึงผลไม้รายเล็กที่ทำให้มียอดขายลดลง เนื่องจากหลายหน่วยงานเล็งเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี

พร้อมย้ำว่า สมาคมยังคงเดินหน้าเรียกร้องให้รัฐบาลและองค์กรภาคเอกชนต่างๆ ที่นำนโยบายดังกล่าวมาใช้ คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ รวมถึงจะส่งผลต่อบรรยากาศและจิตวิทยาของผู้บริโภคถึงการรับของขวัญของชำร่วยคือการคอร์รัปชั่น แต่ท้ายสุดแล้วอาจกระทบตลาดของขวัญของชำร่วยซบเซาต่อเนื่อง อาจไปกระทบถึงมูลค่ากลุ่มสินค้าของขวัญตามเทศกาลฤดูกาล รัฐควรมีมาตรการกระตุ้นอย่างต่อเนื่องและเข้าถึงง่าย เช่น โครงการชิม ช้อปใช้ กระเป๋า 2 ถ้ามีการนำมาใช้มากๆ ก็พอจะกระตุ้นให้การจับจ่ายมีมากขึ้นได้

การย้อนแย้งกับนโยบายที่บางองค์กรยังออกมาประกาศ No gift policy ให้เป็นกระแสงดรับงดให้ของขวัญในช่วงปลายปี สร้างความสับสนให้กับการตัดสินใจซื้อของขวัญเพื่อมอบในช่วงเทศกาลปีใหม่ไม่น้อย การให้ของขวัญเป็นวัฒนธรรมของคนไทยเรามาอย่างยาวนาน ภาครัฐควรส่งเสริมให้ซื้อของขวัญในช่วงเทศกาล ผู้ประกอบการรายย่อยจะได้รับอานิสงส์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ควรส่งเสริมการซื้อลงไปยังชุมชน และผู้ประกอบการรายย่อยให้มากขึ้น ปีนี้การเตรียมพร้อมของภาคเอกชน และการเตรียมการช่วงปลายปีดีมาก มีการเตรียมการจัดเทศกาลของขวัญกันในทุกๆ ที่เพื่อสร้างบรรยากาศการซื้อ อุตสาหกรรมของขวัญของชำร่วย เป็นภาคอุตสาหกรรมที่มีผู้ประกอบการกว่า 3,000 ราย และช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี จะมีผู้ประกอบการเพิ่มเข้ามาอีกเกือบเท่าตัว เกือบทั้งหมดเป็นเอสเอ็มอี เป็นอุตสาหกรรมต่อยอดการขายให้กับสินค้าโอท็อป ไปสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ จุดกำเนิดของ ผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ต้องสร้างสรรค์งานออกแบบดีไซน์และมีผู้คนอยู่ระบบจาก ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ หลักล้านคนลงไปถึงระดับรากหญ้าในต่างจังหวัด

ความวิตกในเรื่องนี้ไม่แค่มองว่ากระทบต่อผู้ผลิตผู้ค้าสินค้าทั่วไปจาก No Gift Policy ในเทศกาลปีใหม่เท่านั้น แต่หากมีการปลุกกระแสไปถึงเทศกาลอื่น อย่าง ตรุษจีน หรือ สงกรานต์ อาจบั่นทอนการซื้อ และกระทบต่อมูลค่าการค้า 4 หมื่นล้านบาทถดถอยไปเรื่อยๆ เหลือ 2-3 หมื่นเพียงไม่กี่ปีจากนี้ อาจส่งผลลุกลามไปถึงผู้ค้ารายเล็กรายน้อยอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะตามชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ

ผลสะเทือนที่เกิดขึ้นส่งสัญญาณอีกครั้งว่าต้องปรับตัว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image