นายกลินทร์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงกรณีสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐว่า ประเมินว่าสงครามการค้าจะกระทบต่อไทยค่อนข้างน้อย เพราะสินค้าในลิสต์ที่ออกมาไม่มีอยู่ในห่วงโซ่ของสินค้าไทย ซึ่งสหรัฐขึ้นภาษีจีน เช่น เครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ส่วนจีนจะขึ้นภาษี เช่น รถยนต์ สินค้าเกษตร เนื้อสัตว์ อย่างไรก็ตาม มองว่าเป็นโอกาสมากกว่า ถ้าจีนขายสหรัฐไม่ได้มาขายไทย ราคาสินค้าถูกลง ไทยสามารถซื้อถูกลง ด้านสหรัฐซื้อจีนแพงไทยนำของไปขายได้ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ที่เป็นอุตสาหกรรมที่ไทยแข็งแกร่ง เป็นต้น ทั้งนี้ อาจจะมีโอกาสจากการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนจากทั่งสองประเทศมาลงทุนไทยได้ เพราะไทยเป็นศูนย์กลางอาเซียน
“แม้สงครามการค้าจะกระทบไทยไม่มาก แต่ยังต้องติดตามว่าจะมีการขยายขนาดการกีดกันการค้าอีกหรือไม่ รวมทั้งสหรัฐจะมีการขยายการกีดกันถึงไทยหรือไม่ ซึ่งช่วงปลายเดือนนี้ทางคณะทำงานชุดเล็กของหอการค้าสหรัฐ หรือ US Chamber of Commerce จะเดินทางมายังไทย ทางหอการค้าไทยฯ จะมีการนำเสนอข้อกังวลต่างๆของไทยต่อหอการค้าสหรัฐ เพื่อลดทอนผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ก่อนที่จะมีการหารือร่วมกับคณะหอการค้าสหรัฐชุดใหญ่ ซึ่งจะเดือนทางมาร่วมฉลองครบรอบความสัมพันธ์ไทยสหรัฐในเดือนกันยายนนี้ ” นายกลินทร์ กล่าว
นายธนวรรธ์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์ พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า สถานการณ์สงครามการค้ามองไม่ยืดเย้อและไม่ปานปลาย อาจจะเป็นการข่มขู่เพื่อต่อรอง ซึ่งหากพิจารณาขนาดการขึ้นภาษีมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐของทั้ง 2 ประเทศ คิดเป็นสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับขนาดจีดีพีของสหรัฐที่ 14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่จีดีพีจีนอยู่ที่ 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ กรณีนี้สามารถแก้ไขได้โดยทางการสหรัฐและจีนลดราคาส่งที่ท่าเรือลง ทั้งนี้ แม้ว่าราคาสินค้าจะขึ้นแต่ไม่ใช่การห้ามนำเข้าจึงมองว่าจะไม่กระทบมาก ซึ่งต้องติดตามต่อว่าจะมีการเพิ่มวงเงินตามไปที่ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐหรือไม่ด้วย ทั้งนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจฯ ยังคงประมาณการณ์จีดีพีไทยที่ 4.4% และส่งออกที่ 6%
