นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัืทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจัยที่ยังกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงเป็นประเด็นสงครามการค้า ซึ่งคาดว่าจะมีผลถึงช่วงสิ้นปีนี้เป็นอย่างน้อย ทำให้บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกมีความผันผวน อย่างไรก็ตามแนะนำนักลงทุนติดตามปัจจัยในประเทศที่มีสัญญาณดีขึ้นตามลำดับ โดยปัจจัยแรกเป็นเรื่องมูลค่าหุ้นไทย หลังดัชนีตลาดหุ้นปรับฐาน ทำให้มูลค่าหุ้นไทยอยู่ในระดับที่น่าจูงใจ โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ (บิ๊กแค็ป) ที่ราคาลงไปลึก แต่ประมาณการกำไรสูง ยิ่งทำให้อัตราส่วนกำไรต่อหุ้น (พี/อี) มีความน่าสนใจ
ปัจจัยที่ 2 ประมาณการกำไรของดัชนีตลาดหุ้น (อีพีเอส) อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง การปรับฐานของดัชนีตลาดหุ้นในรอบนี้ไม่น่ากังวลมากนัก เนื่องจากกำไรคงที่ แต่ดัชนีฯปรับลงจากปัจจัยภายนอกประเทศ ทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน และการปรับพอร์ตของ Passive Fund ตามดัชนีเอ็มเอสซีไอ ปัจจัยที่ 3 ธุรกรรมบนกระดานบล็อกเทรด ในตลาดฟิวเจอร์ส ช่วงที่ผ่านมาสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นพอสมควร แต่สัญญาณล่าสุดเริ่มมีการปิดสัญญาลงมามากแล้ว
“ปัจจัยต่างประเทศโดยเฉพาะสงครามการค้า ยังคงทำให้ตลาดผันผวน ขณะเดียวกันนักลงทุนต่างชาติยังคงสถานะซื้อสุทธิหุ้นไทย แต่ปัจจัยภายในประเทศเริ่มมีสัญญาณดีขึ้นตามลำดับ และเชื่อว่านักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยจะเป็นผู้ประคับประคองตลาด เพราะฉะนั้นภาพตลาดหุ้นตลอดเดือนกรกฎาคมน่าจะเริ่มกระเตื้องขึ้น หลังตลาดหุ้นปรับลงในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา โดยคาดว่าตลาดจะรีบาวด์ขึ้นไปที่ระดับ 1,650 จุด และกรณีดีที่สุดประเมินว่าดัชนีมีโอกาสทดสอบที่ระดับ 1,700 จุด ซึ่งขึ้นอยู่กับการรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ไตรมาส 2/2561 ด้วย” นายณัฐชาตกล่าว
การลงทุนในเดือนนี้จึงแนะนำหุ้นบิ๊กแค็ปในกลุ่มเซ็ท 50 โดยเลือกหุ้นที่มีการปรับฐานแรง แต่ประมาณการกำไรถูกปรับขึ้น ทั้งนี้ทางบล.ทรีนีตี้ได้แนะนำหุ้นไว้ 3 ตัว ดังนี้
SCC ราคาเป้าหมาย 530 บาท เข้าซื้อที่ราคา 410 บาท ตัดขาดทุนที่ 370 บาท
BANPU ราคาเป้าหมาย 26 บาท เข้าซื้อที่ราคา 20 บาท ตัดขาดทุนที่ 18 บาท
TRUE ราคาเป้าหมาย 8.30 บาท เข้าซื้อที่ราคา 5.50 บาท ตัดขาดทุนที่ 5 บาท