เฉลียงไอเดีย : ภรณ์ทิพย์ อัคควิบูลย์ แตกไลน์ธุรกิจจากสิ่งใกล้ตัว ผุด‘The Nectar Le Blanc’จับตลาดเครื่องสำอาง

“แม้ว่าคู่แข่งจะเยอะ แต่เราแข่งเรื่องความจริงใจและคุณภาพของสินค้า ถ้าสินค้าใช้ดี ราคาเท่าไหร่คนก็ยอมจ่าย” ประโยคเด็ดของคุณ “ทิป” ภรณ์ทิพย์ อัคควิบูลย์ เจ้าของเครื่องสำอางแบรนด์ The Nectar Le Blanc ที่เล่าให้ฟังถึงการแตกไลน์ธุรกิจใหม่ หลังจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ทำมากว่า 12 ปีอยู่ตัวแล้ว

The Nectar Le Blanc มีที่มาที่ไปอย่างไร คุณทิปฉายภาพว่า “เป็นคนผิวแพ้ง่าย แต่ก่อนเข้าคลินิกเป็นประจำ หลังจากเรียนจบสถาปัตย์ จุฬาฯ ก็ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ต้องเจอแสงแดดเจอฝุ่นเป็นประจำ พอไปออกไซต์งานผื่นขึ้น ต้องไปหาหมอเรื่อยๆ ตอนแรกก็ไม่คิดจะทำ แต่พออสังหาฯอยู่ตัวแล้ว อยากแตกไลน์ธุรกิจ ประกอบกับช่วงนี้มีคนให้ครีมมาใช้ พอได้ลองรู้สึกผิวดีขึ้น จากผิวปกติที่ ‘ออกไซต์ปุ๊บ ต้องหาหมอปั๊บ’ ก็น้อยลง”

คุณทิปเล่าต่อว่า “และจุดเปลี่ยนจริงๆ ที่ทำให้ตัดสินใจมาทำคือ อยากให้ลูกสัมผัสกับชีวิตผจญภัย เลยซื้อคอร์สแล่นเรือใบที่พัทยา มีทั้งดำน้ำ ปีนเขา โดยระหว่างทำกิจกรรมได้เตรียมสเปรย์กันแดดไป แต่ปรากฏว่าไหล่แตกแบบน่ากลัวมาก ต้องไปรักษาที่โรงพยาบาล ขณะที่หน้าเราคล้ำลงเล็กน้อย เลยสังเกตว่าครีมตัวนี้ดี จึงเข้าไปคุยกับคุณหมอว่าอยากให้ผลิตเทสเตอร์ออกมา 30 ชุด แล้วให้คนรอบตัวที่เป็นกลุ่มนักธุรกิจเหมือนกันใช้ก่อน มีทั้งอายุ 30 ปีขึ้นไป 50 ปีขึ้นไป ผลปรากฏว่าทุกคนใช้แล้วบอกว่าผิวดีขึ้นใสขึ้น จึงเป็นที่มาและนำมาพัฒนาสูตรต่อ”

คุณทิปย้ำว่า พื้นฐานผิวหน้าดี แต่งหน้านิดเดียวก็สวยแล้ว แต่ความท้าทายคือตลาดความงามเป็นตลาดใหญ่ ปีที่ผ่านมามีมูลค่าตลาดประมาณ 1.7 แสนล้านบาท มีแบรนด์สินค้าหลากหลาย และในช่วงที่ต้องขอมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ค่อนข้างตรวจเข้มจากกระแสข่าวเรื่องสินค้าความงามไม่ได้มาตรฐาน

Advertisement

“โชคดีว่าตอนขอ อย. ทำให้เรารู้ว่าคนที่ทำจริงๆ มีพื้นที่ยืนมากขึ้น ช่วงนั้น อย.เข้มมากๆ ใช้เวลาตรวจละเอียด จึงเป็นจุดพิสูจน์สินค้าของเรา นอกจากส่วนผสมในเครื่องสำอางแล้ว ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย ทางแบรนด์จึงส่งสินค้าไปตรวจสารอันตราย ทั้งสเตียรอยด์ ไฮโดรควิโนน และสารปรอทที่แล็บกลางเรียบร้อยแล้ว เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค”

จากประสบการณ์ของคุณทิปเอง และการใส่ใจกับคุณภาพของสินค้า ทำให้ต้องเลือกวัตถุดิบ โรงงานและทีมวิจัยที่ได้มาตรฐาน ได้ที่ปรึกษาที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในวงการค้าปลีกมาช่วยทำงาน ใช้เวลากว่า 2 ปีสำหรับทำการคิดค้นวิจัยและพัฒนาสินค้า

“ช่วงที่ทำอาร์แอนด์ดี ค่อนข้างใช้เวลาพอสมควร ยิ่งมีข่าวทำให้ทางรัฐบาลตรวจเข้มมากขึ้น ซึ่งการตั้งแบรนด์ขึ้นมาใหม่ จะยากหรือไม่ยากมองที่ความพร้อม โดยในช่วงที่ผ่านมาก็ไปดูงานหลายประเทศ เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น นอกจากการพัฒนาตัวสินค้า ก็ดูเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ การทำการตลาด เป็นงานที่ท้าทาย เพราะที่กระโดดมาทำไม่รู้อะไรเลย ก็ตื่นเต้นและกังวลบ้าง แต่ก็พยายามศึกษาหาข้อมูลว่าต้องมีอะไรบ้าง เมื่อวางแผนครบแล้วจึงค่อยดำเนินการผลิต”

Advertisement

สำหรับผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายก่อนในเฟสแรกจะเป็นเอสเซ้นส์และครีมบำรุงผิวหน้า ใช้งบลงทุน 20 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุน ทำการตลาด ประชาสัมพันธ์ 10 ล้านบาท และงบสำหรับทำอาร์แอนด์ดี คิดค้นสูตร และดูงานเรื่องสารสกัดที่ยุโรปอีก 10 ล้านบาท โดยคาดว่าภายในระยะเวลา 2 ปีจะถึงจุดคุ้มทุน โดยในปีแรกนี้ตั้งเป้าทำแบรนด์สินค้าให้เป็นที่รู้จักก่อน และตั้งเป้ายอดขายปี 2562 ที่ 10-15 ล้านบาท และในปีถัดๆ ไป ตั้งเป้าเติบโตประมาณ 17-18% และออกสินค้าครบวงจร โดยเริ่มจากกลุ่มสกินแคร์ เนื่องจากเป็นพื้นฐานของการเตรียมผิว

สำหรับ Expert Melasma Cream ได้รับ อย.เลขที่ : 10-1-6100015560 และ Malus Cell Le Blanc Essence ได้รับ อย.เลขที่ : 10-1-6100015481 ดังนั้น จึงมั่นใจว่าผู้บริโภคจะให้การตอบรับที่ดี วางกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้ากลุ่มบีบวกอายุ 25 ปีขึ้นไป

“ปีแรกที่เริ่มวางจำหน่ายในท้องตลาดยังไม่ได้คาดหวังยอดขาย เพราะเป็นช่วงการเริ่มต้น ต้องใช้เวลาวางรากฐานธุรกิจให้แข็งแกร่ง ซึ่งบริษัทมุ่งมั่นตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ทั้งการคิดค้นวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อให้ผู้บริโภคได้ใช้สินค้าที่ดีมีคุณภาพและในปีถัดไปหลังจากที่บริษัทได้ทำการประชาสัมพันธ์ ทำการตลาด และวางจำหน่ายสินค้าครบทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นโมเดิร์นเทรด แมสมีเดียและออนไลน์แล้ว คาดว่า The Nectar Le Blanc จะเป็นที่รู้จัก บอกต่อและกลับมาซื้อซ้ำ ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันสามารถเดินหน้าและขับเคลื่อนด้วยตัวเองไปได้ดีแล้ว ก็จะทำงานควบคู่กันไปกับธุรกิจใหม่ เพื่อให้เติบโตไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน”

สำหรับสินค้า 2 ตัวแรกจะวางจำหน่ายเป็นทางการในเดือนสิงหาคมนี้ เป็นสินค้ากลุ่มดูแลและบำรุงผิว ใช้สารนำเข้าจากยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งจุดเด่นของสินค้าคือเป็นส่วนผสมของการใช้สารเคมีปลอดภัยที่เป็นโมเลกุลขนาดเล็กและการใช้สารจากธรรมชาติ ผู้ที่มีปัญหาผิวแพ้ง่ายสามารถใช้ได้เช่นกัน

“หากมองในภาพรวมผลิตภัณฑ์ สินค้ากลุ่มสกินแคร์จะออกเป็นตัวแรก เพราะเห็นผลชัดเจน กลุ่มที่ 2 วางแผนออกสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และกลุ่มที่ 3 คือเมกอัพ เนื่องจากได้รับแรงบันดาลใจจากการไปดูงานที่ญี่ปุ่น เมื่อเราเจอแบรนด์สินค้าที่ชอบ 2 แบรนด์ แต่มีสินค้าไม่ครบทั้ง 3 กลุ่ม จึงจับทั้ง 2 มารวมกัน ซึ่งนอกจากจับกลุ่มคนไทยแล้ว มองว่าตลาดญี่ปุ่นก็น่าสนใจ เพราะคนญี่ปุ่นเองก็ชอบแบรนด์สินค้าไทยและสมุนไพรไทยอยู่แล้ว ส่วนเฟสถัดไปนอกจากขยายสินค้าทั้ง 3 กลุ่มแล้ว อาจจะตั้งบิวตี้เซ็นเตอร์สำหรับบริหารสปา และขยายสินค้าสกินแคร์สำหรับผู้ชาย”

ช่องทางการจำหน่ายสินค้าตอนนี้ก็มีทางโมเดิร์นเทรด เจรจาอยู่กับทางอีฟแอนด์บอย วัตสันและคิงเพาเวอร์ เพื่อเจาะลูกค้าต่างประเทศ รวมถึงการใช้ช่องทางทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียและช้อปปิ้งออนไลน์

และเมื่อถามถึงที่มาของ “ชื่อแบรนด์” คุณทิปเล่าว่า ได้รับการจุดประกายมาจากการไปทำงานด้านแลนด์สเคปสมัยเรียนอยู่จุฬาฯ จากนักบุญและบ่อน้ำพุในเมืองหนึ่งของฝรั่งเศส โดย The Nectar แปลว่า น้ำทิพย์ ส่วน Le Blanc แปลว่า หน้าขาวกระจ่างใส เมื่อนำ 2 คำนี้มารวมกันเป็นคำที่เข้าใจง่าย

และแม้ว่า 2 ธุรกิจทั้งอสังหาและความงามจะแตกต่างกัน แต่แนวคิดในการทำธุรกิจคุณทิปย้ำให้ฟังอีกครั้งว่า “หลักการพัฒนาโครงการอสังหาคือการให้ความสำคัญกับลูกค้าในโครงการ ให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกค้า สุดท้ายสิ่งนั้นจะกลับมาเอง อย่างโครงการอสังหาให้เช่า พยายามคำนึงถึงการใช้งานของลูกค้า ถนนโครงการจึงมีขนาดกว้าง มีสถานีสูบน้ำส่วนตัว และภายหลังจากปล่อยเช่าแล้ว ก็พยายามเข้าไปดูว่าต้องเพิ่มอะไรให้กับลูกค้าอีกบ้าง เราจึงได้รับเสียงยืนยันจากลูกค้า ขณะที่ลูกค้าเก่าเองก็มีการบอกต่อโครงการ การทำแบรนด์เครื่องสำอางก็เช่นเดียวกัน เราต้องเลือกสารสกัดที่ดี ปลอดภัยและจริงใจกับผู้บริโภค ถ้าใช้ดีลูกค้าก็จะบอกต่อ”

เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะเป็นแบรนด์ใหม่ แต่มีจุดเด่นเรื่องการเอาใจใส่กับผู้บริโภค เชื่อว่าต้องมีผู้บริโภคอยากจะทดลองใช้สินค้าแน่ๆ ว่าเป็นอย่างไร เพราะเทรนด์ของสาวยุคใหม่สมัยนี้ นอกจากชื่นชอบเคาน์เตอร์แบรนด์แล้ว ก็ชอบสินค้าใหม่ๆ ที่มีสตอรี่น่าสนใจ และโดยเฉพาะ “ผลลัพธ์” จากการใช้สินค้า

อย่าง The Nectar ทางเจ้าของแบรนด์ก็มีแรงบันดาลใจการคิดค้นผลิตภัณฑ์มาจากเรื่องราวใกล้ตัวนี่เอง

ส่วนประสิทธิผลจะเป็นอย่างไร คงต้องขึ้นกับผู้ใช้ จะบอกได้ดีที่สุด

พรพินันท์ จันทอุดม

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image