ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (24 กันยายน) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้ไปตรวจเยี่ยมกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เพื่อติดตามความคืบหน้าผลการดำเนินงานเน็ตประชารัฐ โดยนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมร่วมกับนายสมคิดว่า โครงการเน็ตประชารัฐ ปัจจุบันกระทรวงดีอีได้ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน 24,700 หมู่บ้าน ขณะที่โรงเรียน จำนวน 902 แห่ง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) จำนวน 651 แห่ง รวม 1,553 แห่ง สำรวจจาก ร.ร./รพ.สต. ที่ยังไม่มีสายไฟเบอร์ออปติก จะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2561
ทั้งนี้ การสร้างการรับรู้ในโครงการเน็ตประชารัฐ ได้ดำเนินการจัดอบรมแกนนำแล้วเสร็จ จำนวน 100,000 คน ตั้งเป้าว่าโครงการดังกล่าวจะทำให้มีผู้ใช้งานจำนวน 1 ล้านคน ที่สามารถพัฒนาเกิดการใช้ประโยชน์ได้ รวมถึงสนับสนุนหลักสูตรอบรมในโครงการไทยนิยมยั่งยืน จำนวน 8 ล้านคน ช่วยในการให้ความรู้การใช้งานเน็ตประชารัฐ ติดตามให้เกิดการใช้ประโยชน์ รวมถึงการเผยแพร่ข้อมูล/การให้บริการ การแจ้งปัญหาการใช้เน็ตประชารัฐ และแจ้งข้อมูลทั่วไป
นางสาวอัจฉรินทร์กล่าวว่า การกำหนดพื้นที่โครงการเน็ตประชารัฐ โดยคณะทำงานพื้นที่เป้าหมาย พบว่า ปัจจุบันทั่วประเทศมีจำนวน 74,987 หมู่บ้าน โดยมีจำนวน 30,635 หมู่บ้าน หรือคิดเป็น 41% เป็นพื้นที่โซน A (พื้นที่ในเมือง) และโซน B (พื้นที่มีศักยภาพ) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่ต้องสนับสนุน ส่วนอีก 44,352 หมู่บ้าน หรือคิดเป็น 59% เป็นพื้นที่โซน C (พื้นที่ห่างไกล) 40,432 หมู่บ้าน และเป็นพื้นที่โซน C+ (พื้นที่ห่างไกลมาก) 3,920 หมู่บ้าน เป็นพื้นที่ต้องสนับสนุน
“ภาพรวมการติดตั้งเน็ตประชารัฐ กระทรวงดีอีได้มอบหมายให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการกระทั่งแล้วเสร็จเมื่อเดือนธันวาคม 2560 จำนวน 24,700 หมู่บ้าน ส่วนจำนวน 19,652 หมู่บ้าน สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้ สามารถเปิดให้บริการแล้ว จำนวน 30,635 หมู่บ้าน” นางสาวอัจฉรินทร์กล่าว
ด้านนายสมคิดกล่าวว่า การดำเนินโครงการเน็ตประชารัฐนั้น อยากให้กระทรวงดีอีเร่งขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยอยู่ภายใต้แนวคิดที่จะทำอย่างไรให้ประชาชนสามารถใช้งานระบบอินเตอร์เน็ตได้อย่างทั่วถึง รวดเร็ว และอยู่ในอัตราค่าบริการที่เหมาะสม ทั้งนี้ ระบบอินเตอร์เน็ตถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้ อีกทั้งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่ประชาชนควรจะได้รับ
“ประชาชนต้องสามารถเชื่อมต่อการใช้งานจากโครงการเน็ตประชารัฐได้อย่างทั่วถึง รวดเร็ว และในราคาถูก และจากโครงการดังกล่าวต้องก่อให้เกิดประโยชน์ อาทิ ด้านการศึกษา การสาธารณสุข เป็นต้น และเมื่อระบบอินเตอร์เน็ตเข้าไปถึง จะทำให้ประชาชน และประเทศเกิดการพัฒนาก้าวเข้าสู่ยุคแห่งเศรษฐกิจดิจิทัลได้ต่อไป” นายสมคิดกล่าว