การลงทุนที่ผิดหวังที่สุดในปีนี้ของหลายท่าน หนึ่งในนั้นต้องมี “หุ้นจีน” แน่นอน
เพราะช่วงเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาการลงทุนในจีนขวัญใจชาวเอเชีย ปรับตัวลงไปกว่า 15% ขณะที่ความผันผวนก็สูงขึ้นแตะหลัก 20% จากปีที่แล้วที่ได้กำไรกัน 20-30% ขณะที่ความผันผวนต่ำกว่า 10%
นักลงทุนที่ถืออยู่ก็กังวล ฝั่งที่ยังไม่ได้ซื้อก็ไม่แน่ใจว่าควรเข้าไปเมื่อไหร่ จึงเกิดคำถามว่า อะไรกันแน่ที่จะคืนชีพหุ้นจีนให้กลับมาผงาดได้อีกครั้ง
อดีตสอนเราว่าการกลับตัวของหุ้นจีนเกิดจากหลายปัจจัย
เช่นปลายปี 2008 เกิดการกลับตัวขึ้น 120% หลังจากรัฐบาลจีนอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจไปกว่าสี่ล้านล้านหยวนตลอดช่วงเวลาหนึ่งปีหลังวิกฤตการเงินโลก
แต่ในปี 2014 ตลาดจีนที่ซึมมานานถึงหกปีพุ่งทะยานขึ้นไป 100% จนเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ได้ เกิดจากแค่เพียงเพราะการผ่อนคลายกฎเกณฑ์และนโยบายการเงินของภาครัฐ
ล่าสุดช่วงปี 2016 หุ้นจีนปรับฐานสั้นๆ หกเดือนก็สามารถกลับตัวได้เพียงเพราะตลาดการเงินโลกเปิดรับความเสี่ยง รัฐบาลจีนแทบไม่ได้ออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอะไรใหม่ แต่กลับเกิดกระแสการ IPO ขึ้นอย่างมหาศาลในจีน จนหุ้นกลับเข้าสู่ขาขึ้นต่อเนื่องได้ถึงสองปีและให้ผลตอบแทนรวมกว่า 50%
การคืนชีพของตลาดไม่มีสูตรสำเร็จ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ปัจจัยพื้นฐาน สภาพเศรษฐกิจ และจิตวิทยาของตลาดต้องพร้อม
รอบนี้ ประเด็นหลักที่จะส่งผลให้ตลาดทุนจีนกลับตัวเป็นขาขึ้นได้มีทั้งหมด “เจ็ดเรื่อง” ถ้าเกิดขึ้นได้พร้อมกันแล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่ตลาดหุ้นจีนจะกลับตัว เปรียบเสมือน “ดราก้อนบอลทั้งเจ็ด” ไว้เรียกเทพเจ้ามังกรออกมาคืนชีพหุ้นจีนกันเลยทีเดียว
ลูกแก้วสองลูกที่เรา “พบแล้ว” คือนโยบายการเงินและค่าเงินหยวน ซึ่งเป็นนโยบายที่ช่วยพยุงตลาดทุนจีนอยู่
ทางการจีนรู้ว่าเศรษฐกิจกำลังอยู่ในขาลง ปีนี้ธนาคารกลางจีนจึงลดอัตราการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ไปแล้วถึง 1.5% เมื่อเจอสงครามการค้า จีนก็ปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าตามตลาดอีก 5% แต่ด้วยความเป็นนโยบายเชิงรับ จึงอาจไม่เพียงพอที่จะปลุกความกล้าของนักลงทุนให้กลับมาได้
สามเรื่องต่อมาคือ เศรษฐกิจจีน ผลประกอบการของบริษัท และนโยบายตลาดทุน ซึ่งเปรียบเสมือนดราก้อนบอลที่ “ยังต้องหาต่อไป”
นั่นก็เพราะการปรับโครงสร้างของเศรษฐกิจจีนยังไม่ถึงจุดสมดุล อนาคตเราจะเห็นเศรษฐกิจเติบโตน้อยลงแน่ สิ่งที่ตามมาก็คือรายได้ของบริษัทจีนก็จะเข้าสู่ขาลง ซึ่งก็เริ่มเห็นแล้วว่าในครึ่งแรกของปีนี้รายได้
ของบริษัทขยายตัวเพียง 15% จากที่คาดไว้ถึง 21% ประกอบกับปริมาณ IPO ก็ยังถูกภาครัฐคุม ตั้งแต่ต้นปี มี IPO เพียง 80 บริษัท ต่างจากปีที่ตลาดหุ้นร้อนแรงในอดีตที่มีเข้าใหม่กว่า 200 บริษัทต่อปี
เมื่อทางการจีนยังไม่เปลี่ยนมุมมองที่จะปฏิรูปทั้งเศรษฐกิจและตลาดทุน ก็อาจต้องใช้เวลาอีก 1-2 ปี ในภาวะปกติกว่าที่เรื่องเหล่านี้จะกลับมาเป็นบวก
ส่วนสุดท้าย และดูจะมีผลต่อการรวบรวมลูกแก้วมังกรทั้งหมดน่าจะเป็น การเปิดรับความเสี่ยงของตลาดทุน และการฟื้นตัวของการค้าระหว่างประเทศ แต่ “ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่”
ในเชิงปริมาณการกีดกันการค้าเริ่มใกล้จุดที่ทั้งสองประเทศจะยกเอาสินค้า “ทั้งหมด” มากดดันกัน จุดจบจึงอาจอยู่ที่การกีดกันการค้าแบบเต็มรูปแบบ และคงเป็นจุดต่ำสุดที่อาจเกิดขึ้นในไม่ช้า แต่หุ้นจีนจะคืนชีพได้ไม่ใช่เพราะถึงก้นเหว แต่จะเกิดเมื่อนักลงทุนมองเห็นโอกาสที่จะหลุดจากความเสี่ยงนี้ จุดเปลี่ยนอาจมาได้ทั้งในรูปแบบที่ “ผู้นำสหรัฐเปลี่ยน” หรือ “จีนหาทางออกเจอ” ซึ่งก็มีโอกาสเกิดขึ้นทั้งคู่
แม้เศรษฐกิจจีนมีศักยภาพและกำลังก้าวเข้าสู่ความยิ่งใหญ่ เปรียบเหมือนเทพเจ้ามังกรที่สามารถบันดาลสิ่งที่นักลงทุนคาดหวังได้ แต่ถึงตรงนี้คงต้องสรุปว่าประเด็นหลักที่จะส่งผลให้ตลาดทุนจีนกลับตัวอย่างแข็งแกร่ง ยังไม่เพียงพอ
มังกรตัวนี้อาจยังคงหลับใหล ตราบเท่าที่ตลาดทุนยังรวบรวมลูกแก้วมังกรทั้ง 7 นี้ไม่ครบ
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์
นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย