ที่มา | ทีมข่าวเศรษฐกิจ มติชนรายวัน |
---|
“โครงข่ายเมื่อวางเสร็จสิ้นแล้ว จะมีคนใช้งานหรือไม่ ทางรัฐเองคงไม่มองหรอกว่าจะคุ้มหรือไม่คุ้ม แต่อย่างน้อยเมื่อโครงข่ายเข้าถึงทุกพื้นที่ในประเทศไทย ประชาชนจะมีอินเตอร์เน็ตใช้ สิ่งที่ได้ก็คือการสร้างโอกาสให้แก่คนในพื้นที่มากกว่า”
ในขณะนี้คงหมดข้อสงสัยกันไปแล้วว่า หลังจากที่ประมูล 4จี บนคลื่น 1800 และ 900 เมกะเฮิรตซ์ ได้เงินมากว่า 2.3 แสนล้านบาท และเงินดังกล่าวตกเป็นรายได้ของแผ่นดินแล้ว รัฐจะนำเงินดังกล่าวไปใช้ทำอะไรบ้าง
เพราะเมื่อวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ได้อนุมัติให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ใช้เงินจากการประมูล 4จี จำนวน 20,000 ล้านบาท ไปดำเนินโครงการยกระดับโครงข่ายโทรคมนาคมของประเทศ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนตามนโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล (ดิจิตอลอีโคโนมี) ซึ่งเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประกาศไว้ตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศ
แยกใช้ 2 โครงการ
โดยในรายละเอียดของงบประมาณก้อนโต 20,000 ล้านบาท “นายอุตตม สาวนายน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ชี้แจงว่า ครม.เห็นตรงกันว่าเงินที่ได้จากการประมูล 4จี จะนำไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับฐานรากให้ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยจะไม่นำไปใช้ในด้านการเมืองอย่างเด็ดขาด
ดังนั้น การดึงเงิน 20,000 ล้านบาท จากการประมูล 4จี มาใช้ในโครงการยกระดับโครงข่ายโทรคมนาคมของประเทศนั้น จะนำไปใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเตอร์เน็ตใน 2 ส่วน คือ 1.การพัฒนาโครงข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ให้เข้าถึงครบทุกหมู่บ้านในประเทศไทย ใช้งบประมาณ 15,000 ล้านบาท และ 2.ขยายขีดความสามารถโครงข่ายอินเตอร์เน็ต การใช้งานอินเตอร์เน็ตเชื่อมต่อกับต่างประเทศด้วยคุณภาพที่ดีขึ้น ใช้งบประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการ จะให้ 2 หน่วยงานรัฐวิสาหกิจด้านโทรคมนาคม ได้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการ
วางเป้าทุกหมู่บ้านได้ใช้เน็ตปี’60
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ครม.ได้เคยอนุมัติงบดำเนินการพัฒนาโครงข่ายบรอดแบรนด์ให้เข้าถึงทุกหมู่บ้านจำนวน 3,755 ล้านบาท แต่เมื่อได้เพิ่มเป็น 15,000 ล้านบาท ก็จะต้องเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการใหม่ จากใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพโครงข่ายอินเตอร์เน็ตของหน่วยงานต่างๆ ให้สามารถขยายพื้นที่การให้บริการได้ไกลขึ้น เป็นการที่รัฐบาลจะเป็นผู้ลงทุนโครงข่ายเองทั้งหมดและให้ผู้ประกอบการทั้งรัฐวิสาหกิจและเอกชนมาเช่าใช้โครงข่าย หรืออาจลงทุนลากสายที่พาดผ่านหมู่บ้านเข้าไปยังบ้านเรือนประชาชน (ลาร์สไมล์) เพื่อให้บริการ โดยโครงข่ายบรอดแบนด์ที่จะดำเนินการในครั้งนี้จะมีความเร็วในการใช้งานสูงสุดที่ 30 เมกะบิต ซึ่งการที่รัฐเปิดให้ผู้ประกอบการทุกรายสามารถใช้งานได้ เพื่อให้ประหยัดต้นทุนในการลงทุน และการแข่งขันด้านราคา ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ค่าบริการอินเตอร์เน็ตถูกลง
ปัจจุบันประเทศไทยมีหมู่บ้านทั้งหมด 70,000 หมู่บ้าน ในจำนวนดังกล่าวมีโครงข่ายอินเตอร์เน็ตทั้งรัฐและเอกชนไปถึงแล้วราว 40,000 หมู่บ้าน ยังขาดอีกราว 30,000 หมู่บ้าน ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าเข้าไปลงทุนเนื่องจากกลัวว่าจะมีคนใช้งานน้อยไม่คุ้มค่าการลงทุน ฉะนั้น 30,000 หมู่บ้านที่เหลือคือเป้าหมายในการลงทุนครั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในเดือนมีนาคมนี้ และต้องเสร็จภายในปี 2560
“โครงข่ายเมื่อวางเสร็จสิ้นแล้ว จะมีคนใช้งานหรือไม่ ทางรัฐเองคงไม่มองหรอกว่าจะคุ้มหรือไม่คุ้ม แต่อย่างน้อยเมื่อโครงข่ายเข้าถึงทุกพื้นที่ในประเทศไทย ประชาชนจะมีอินเตอร์เน็ตใช้ สิ่งที่ได้ก็คือการสร้างโอกาสให้แก่คนในพื้นที่มากกว่า”
และเพื่อให้คุณภาพงานออกมาดีคุ้มค่างบประมาณที่ลงไป จึงได้ตั้ง “นางทรงพร โกมลสุรเดช” ปลัดกระทรวงไอซีที เป็นประธาน ในการกำกับดูแลการจัดสรรงบประมาณ ด้วยการตั้งระบบ พีเอ็มโอ (Project Management Office) เพื่อติดตามการทำงาน ประเมินผล และแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยต้องมีตัวแทนจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นคณะกรรมการ และร่วมกันรับผิดชอบ ซึ่ง ทีโอที และ กสท ต้องส่งรายละเอียดแผนงานโดยเร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเบิกจ่าย การดำเนินงานตามจริง ต้นทุนการดำเนินงาน และที่สำคัญคือ จะต้องทำงานให้แล้วเสร็จตามกำหนดการที่วางไว้ ไม่ใช่ทำงานล่าช้าเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
จับมือพาณิชย์ช่วยเอสเอ็มอีสร้างมูลค่าเพิ่ม
เมื่อทุกหมู่บ้านมีโครงข่ายบรอดแบนด์ไปถึงแล้ว กระทรวงไอซีทีก็ได้มอบหมายงานให้ทุกหน่วยงานในสังกัด ไปคิดมาว่าจะสามารถสร้างหรือสานต่อโครงการอะไรเพิ่มเติมเพื่อใช้ประโยชน์จากโครงข่ายบรอดแบนด์ที่ครอบคลุมทั้งประเทศได้หรือไม่ เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา จะสามารถเพิ่มศักยภาพในการพยากรณ์อากาศแบบลงลึกในระดับตำบลได้แล้วหรือไม่ และสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สรอ. จะสามารถเชื่อมโยงกับรัฐบาลท้องถิ่นที่มีอยู่ได้หรือไม่
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา ทางกระทรวงไอซีที ได้หารือกับกระทรวงพาณิชย์จนได้ข้อสรุปว่า ทั้ง 2 หน่วยงานจะร่วมกันผลักดันในเรื่องพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (อีคอมเมิร์ซ) โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่จะได้ใช้ประโยชน์จากโครงข่ายอินเตอร์เน็ตที่ไปจนถึงช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจ โดยทั้ง 2 หน่วยงานจะช่วยกันส่งบุคลากรเข้าไปให้ความรู้กับคนในพื้นที่ ผ่านศูนย์ดิจิตอลชุมชนหรือศูนย์ไอซีทีชุมชนเดิมที่มีอยู่แล้วราว 2,280 แห่ง เกี่ยวกับการจัดวางภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์บนเว็บไซต์ให้มีความน่าสนใจ หรือการปรับเพิ่มข้อมูลสินค้าเป็นภาษาอังกฤษเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำการค้ากับต่างประเทศ เป็นต้น
ทีโอที-กสท ผสม 2 เทคโนโลยีวางโครงข่าย
ส่วนในมุมของผู้ปฏิบัติการอย่าง “นายมนต์ชัย หนูสง” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากที่ทีโอที และ กสท ได้รับมอบหมายหน้าที่มาแล้ว ก็จะไปเจรจากันว่าใครจะลงทุนในพื้นที่ใด เพื่อไม่ให้การวางโครงข่ายซ้ำซ้อนกัน โดยเบื้องต้นจะแบ่งการพัฒนาตามพื้นที่ที่ใกล้กับโครงข่ายเดิมของแต่ละราย โดยจะใช้เทคโนโลยี 2 แบบ ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ ได้แก่ การพาดสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (ไฟเบอร์ออปติก) เข้าสู่พื้นที่โดยตรง และการใช้คลื่นความถี่ย่าน 2300 เมกะเฮิรตซ์ ของทีโอที และคลื่นความถี่ย่าน 850 เมกะเฮิรตซ์ ของ กสท ยิงตรงไปยังเสารับในพื้นที่ก่อนแปลงสัญญาณเป็นสายเข้าสู่บ้านเรือนในหมู่บ้านนั้นๆ
“โจทย์ที่ได้รับมาคือต้องดำเนินการให้ครบทุกหมู่บ้านภายใน 12 เดือน ถือว่าโหดมากเพราะเอาเข้าจริงกว่าจะได้เริ่มงานจริงๆ คงมีระยะเวลาไม่ถึง 12 เดือน เพราะต้องการเตรียมเรื่องคนและอุปกรณ์ ฉะนั้น การทำงานต่อจากนี้คงเป็นอะไรที่หนักมาก” นายมนต์ชัยกล่าว
ไม่หวั่นโดนตรวจงานเข้ม
ด้าน พ.อ.สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเพิ่มศักยภาพอินเตอร์เน็ต กสท และ ทีโอที จะร่วมมือในการเพิ่มศักยภาพการรองรับปริมาณการใช้งานผ่านเกตเวย์ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตออกสู่ต่างประเทศให้สามารถรองรับการใช้งานในปริมาณที่สูงขึ้นผ่านเคเบิลใต้น้ำเชื่อมโยงไปยังต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกา เนื่องจากปัจจุบันมีโครงข่ายรองรับการใช้งานอินเตอร์เน็ตระหว่างประเทศอยู่ที่ 500 กิกะบิต แต่จากสถิติมีการใช้งานเพิ่มขึ้น 2 เท่าทุกปี โดยเบื้องต้นได้ตั้งเป้าจะเพิ่มศักยภาพการใช้งานอินเตอร์เน็ตให้สามารถรองรับการใช้งานได้อยู่ในอัตรา 8 เทราบิต ซึ่งหลังเพิ่มศักยภาพเสร็จสิ้นจะทำให้คนไทยใช้งานอินเตอร์เน็ตได้อย่างสบายๆ ไปอีกอย่างน้อย 4 ปี
และการที่กระทรวงไอซีทีได้ตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลการจัดสรรงบประมาณ ด้วยระบบพีเอ็มโอมากำกับดูแลนั้น เห็นว่าไม่น่าจะสร้างแรงกดดันให้แก่คนทำงาน หรือทำให้การดำเนินงานมีความล่าช้า และส่วนตัวเห็นว่าเป็นเรื่องดี เพราะเท่ากับว่าไอซีทีคือผู้ว่าจ้าง ส่วน กสท และ ทีโอที ก็คือผู้รับเหมางาน จึงไม่แปลกที่ผู้ว่าจ้างต้องการให้งานออกมามีคุณภาพมากที่สุด
จากความเห็นของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลาย แสดงให้เห็นว่างบที่ลงไปครั้งนี้จะเกิดดอกเกิดผลให้เห็นภายในปีหน้า (2560) แน่นอน แต่จะเป็นจริงตามที่พูดหรือไม่ รวมถึงต้องติดตามว่าเงินที่เหลือจากการประมูล 4จี อีกกว่า 2 แสนล้านบาท จะแปรรูปเป็นอะไรอีกบ้างต้องติดตามกันต่อไป!!