ถอดรหัส..’รวบบิ๊กหัวเว่ย’ สงครามการค้าปะทุ

เหตุการณ์ทางการแคนาดารวบตัวบุตรสาวผู้ก่อตั้งบริษัท หัวเว่ย บริษัทโทรคมนาคมชั้นนำของจีน และยังเป็นผู้บริหารของหัวเว่ย ตามคำร้องขอของทางการสหรัฐ ส่งผลให้ทางการจีนไม่พอใจอย่างมาก

หลายฝ่ายกลัวว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะการเป็นการจุดชนวนไฟสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนให้โหมรุนแรงยิ่งขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ไม่นาน ทั้งสองฝ่ายเพิ่งเจรจาสงบศึกชั่วคราวระหว่างกัน

จากการตั้งข้อสังเกตภายหลังแคนาดาร่วมมือกับสหรัฐ จับกุม นางเมิ่ง หว่านโจว ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินและบัญชี (ซีเอฟโอ) และผู้บริหารระดับสูงของบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี บริษัทด้านอุปกรณ์การสื่อสารและเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน จะทำให้สงครามการค้าสหรัฐ-จีนปะทุขึ้น หรือกลายเป็นสงครามการค้าระลอกใหม่หรือไม่นั้น

นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง ให้ความเห็นว่า การจับกุมลูกสาวประธานบริษัท หัวเว่ย ซึ่งเป็นหัวหอกของจีนที่จะพัฒนาเทคโนโลยีมาแข่งขันกับสหรัฐนั้น เพราะสหรัฐต้องการดัดหลังจีนไม่ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันด้านเทคโนโลยี หลังจากที่จีนประกาศว่าจะแข่งขันกับสหรัฐโดยใช้วิธีการละเมิดสิทธิทางปัญญา ก่อนที่จะสายเกินไป เพราะฉะนั้นการจับลูกสาวซึ่งดำรงตำแหน่งใหญ่สุดหรือเป็นผู้บริหารสูงสุดด้วยนั้น เป็นการส่งสัญญาณเตือนว่าสหรัฐเอาจริง แม้ว่าขณะนี้จะประกาศพักรบสงครามการค้าชั่วคราวก็ตาม

Advertisement

นายสมชายอธิบายต่อว่า และนอกจากการส่งสัญญาณถึงจีนโดยตรง โดยการร่วมมือกับแคนาดาที่มีท่าทีไม่พอใจทางจีนอยู่แล้วนั้น เพราะสหรัฐต้องการประกาศให้ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกรู้ว่าสหรัฐจะเล่นงานทุกประเทศที่ละเมิดการคว่ำบาตรหรือแซงก์ชั่น อิหร่าน หรือเป็นสัญญาณเตือนโลกทั้งใบ โดยให้แคนาดาเล่นบทบาทขึงขังนี้ไปก่อน และอีกสัญญาณคือต้องการเตือนบริษัทอื่นๆ ในจีนที่จะทำการค้ากับอิหร่านว่าสหรัฐจะเล่นงานคุณ เพราะแม้แต่หัวเว่ยที่เป็นบริษัทใหญ่ก็ยังถูกจับ

เพราะฉะนั้นการที่สหรัฐจับตัวลูกสาวหัวเว่ย ก็อธิบายได้ว่าสหรัฐแน่ใจว่าจีนไม่กล้าเบี้ยว แม้รู้ว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นเหตุการณ์ใหญ่ ทำให้บรรยากาศฮึ่มๆ เกิดขึ้นก็ตาม แต่ในทางการเมืองนายสี จิ้นผิง อยู่ในฐานะเสียเปรียบข้อตกลงทางการค้า และมีผลกับความอยู่รอดในทางการเมือง แม้ว่าข้อตกลงทางการค้าที่อาร์เจนตินาจะทำให้จีนยัวะมากก็ตาม จีนก็ต้องกัดฟันไป ด้านหนึ่งต้องแสดงออกไม่ให้เสียหน้า จึงต้องมีท่าทีแข็งกร้าว ไม่ให้บริษัทในจีนเห็นว่าผู้นำอ่อนแอ ขณะเดียวกันจีนก็ต้องการบอกประชาชนโลกเช่นกันว่าไม่ใช่อยู่ดีๆ จะมาเล่นงานจีนได้

ส่วนสาเหตุที่จีนยังเสียเปรียบข้อตกลงทางการค้า ขอขยายความเสริมว่า เป็นเพราะจีนอยู่ในฐานะถูกกดดันทางเศรษฐกิจให้รักษาข้อตกลงที่ทำกับทางสหรัฐ อันดับแรกคือเศรษฐกิจจีน ชะลอตัวเหลือ 6.5% การลงทุน การส่งออกและการบริโภคต่างลดลง ขณะเดียวกันตลาดหุ้นจีนตกลงมากว่า 30% ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น นายสี จิ้นผิง ในฐานะผู้นำรัฐบาลจีน จึงต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะแก้ไขปัญหาตรงนี้ เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจอ่อนตัวลง ขณะเดียวกันจีนยังมีปัญหาเรื่องของหนี้เอกชนและหนี้รัฐบาลท้องถิ่นสูงถึง 260% ของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ถือว่าสูงมากในกลุ่มประเทศเกิดใหม่

Advertisement

ปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจจึงเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ทรัมป์บีบจีนได้ ขณะเดียวกันแม้ว่าจีนอาจจะเสียเปรียบ แต่ทำไมสหรัฐจะต้องทำข้อตกลง เนื่องจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ถึงจุดที่สหรัฐบาดเจ็บเล็กน้อยแล้ว เห็นได้ชัดว่าตลาดหุ้นสหรัฐผันผวนหนัก จากการที่สงครามการค้าทำให้กำไรของบริษัทไฮเทคสหรัฐเริ่มลดลง ประกอบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มขยายตัวช้าลง หลังจากโตต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

แต่ก็ยังมั่นใจว่าในภาวะการพักรบสงครามการค้า 3 เดือนนี้ เหตุการณ์จับกุมลูกสาวประธานบริษัท หัวเว่ย ไม่ได้เป็นชนวนเหตุทำให้สงครามการค้าปะทุขึ้นแน่นอน แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้จีนไม่พอใจ แต่มองว่าสงครามการค้าปีหน้าจะเริ่มคลี่คลายขึ้น เพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในฐานะที่ชะลอตัวลง การที่จีนถูกตัดเส้นเอ็นด้านการพัฒนาเทคโนโลยีจึงเป็นเรื่องการเมืองมากกว่า

ส่วนการแซงก์ชั่นอิหร่าน อาจจะมีหลายคนสงสัยหรืองงๆ ว่าหัวเว่ยไปแซงก์ชั่นสหรัฐได้อย่างไร ขออธิบายง่ายๆ ว่า สหรัฐใช้กรอบกฎหมายบีบบริษัทที่ไปลงทุนกับอิหร่านโดยตรง เพราะฉะนั้นหากบริษัทเหล่านั้นต้องทำการค้าหรือทำธุรกรรมในสหรัฐก็จะทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นจากกลไกดังกล่าว บริษัทเหล่านั้นก็ต้องยอมสหรัฐ เนื่องจากเป็นประเทศอภิมหาอำนาจ

เพราะฉะนั้น แม้ว่าการจับกุมดังกล่าวไม่ได้ส่งผลให้สงครามการค้าปะทุขึ้นก็ตาม แต่การเติมเชื้อไฟลงไปก็อาจทำให้สงครามการค้ายืดเยื้อได้ เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมกัน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image