จากกรณีนางเมิ่ง หวั่นโจว ประธานฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) ของบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ส์ ได้แจ้งขอประกันตัวระหว่างการพิจารณาคดีเนื่องจากปัญหาสุขภาพ ภายหลังถูกทางการแคนาดาควบคุมตัวและนำตัวขึ้นศาลเพื่อพิจารณาคดีตามที่สหรัฐขอให้มีการส่งตัวนางเมิ่งในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน เพราะละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐต่ออิหร่าน
นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การจับกุมตัวนางเมิ่ง ลูกสาวประธานบริษัท หัวเว่ย เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการประชุมที่อาร์เจนติน่า เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะเป็นประเด็นระหว่างสหรัฐกับจีนเช่นเดียวกัน แต่ทั้งเรื่องการจับกุมซีเอฟโอบริษัท หัวเว่ย และสถานการณ์สงครามการค้าเป็นคนละเรื่องกันแน่นอน ทั้งนี้บริษัท หัวเว่ย เป็นบริษัทที่มีความใกล้ชิดกับรัฐบาลจีนมาก เพราะตัวประธานเองเคยเป็นอดีตทหาร หลายๆ ประเทศที่ทำธุรกรรมกับจีนจึงหลีกเลี่ยงทีจะใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ย ทั้งนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย รวมถึงเยอรมนี และญี่ปุ่นก็ดี เนื่องจากหัวเว่ยได้พัฒนาเครื่องดักฟังขึ้นมา หลายๆ ประเทศจึงหลีกเลี่ยงที่ใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ย
นายปริญญ์กล่าวว่า อย่างไรก็ตามการจับกุมผู้บริหารหัวเว่ยอาจจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในสงครามการค้า แต่ไม่ใช่สาเหตุที่จะทำให้สงครามการค้าปะทุหรือมีความรุนแรงขึ้น ทั้งนี้สังเกตว่าการใช้กลยุทธ์การเจรจาสงครามการค้าสหรัฐ-จีนของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จะคล้ายๆ กับการเจรจากับเกาหลีเหนือ หรือการเจรจาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับประเทศอื่นๆ ซึ่งเม็กซิโกก็โดนเล่นงานค่อนข้างหนัก ในลักษณะการสร้างดีลมากกว่า หรือสร้างข้อตกลงขึ้นมาเพื่อให้สหรัฐดูเป็นฝ่ายต่อรองหรือมีโพซิชั่นนิ่งในการเจรจากับต่างประเทศ
นายปริญญ์กล่าวว่า และด้วยความผันผวนจากปัจจัยต่างประเทศในช่วงปลายปี ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงมีผลกับความผันผวนในตลาดทุน แต่ด้วยมูลค่าหุ้นที่อยู่ในระดับที่ไม่แพง ช่วงนี้จึงเป็นจังหวะการเข้าซื้อหุ้นมากกว่าขายหุ้น อย่างไรก็ตามปัจจัยในประเทศที่กำลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้งและเม็ดเงินหนุนจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ช่วยหนุนเม็ดเงินหรือฟันด์โฟลว์ช่วงสิ้นปีนี้ได้
เกาะกระแสเศรษฐกิจ กับ Line@มติชนเศรษฐกิจใกล้ตัว
