ค่ายอาวดี้เป็นตัวรถยนต์ต้นแบบพลังงานไฟฟ้า อาวดี้ อี-ตรอน จีที (Audi e-tron GT) ในงาน ลอสแองเจลิส ออโต โชว์ (Los Angeles Auto Show) ไปเมื่อเร็วๆ นี้
ล่าสุด ค่ายหนังยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างมาร์เวล ได้ร่วมมือกับอาวดี้ นำรถต้นแบบไฟฟ้าตัวแรงนี้ไปปรากฏโฉมในหนังฟอร์มยักษ์ ที่รวบรวมเหล่าบรรดาซุปเปอร์ฮีโร่ ที่มีแฟนๆ จากทั่วโลกติดตามกันมาทุกภาคอย่าง อเวนเจอร์ส ภาค 4 (Avengers 4) มีแผนจะฉายทั่วโลกช่วงพฤษภาคมปี 2562
วงการภาพยนตร์เชื่อว่าจะเป็นหนึ่งอีกเรื่องที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งปี
อาวดี้จะร่วมโปรโมตรถในหนังให้ได้เห็นก่อนเริ่มเข้าสู่กระบวนการผลิตในปลายปี 2563
สำหรับอาวดี้ อี-ตรอน จีที ต้นแบบคันนี้ มีรูปทรงเหมือนกับ A7 สปอร์ตแบ๊ก (Sportback) แต่รูปร่างหน้าตาจะดุดันกว่า
ให้พละกำลัง 582 แรงม้า วิ่งได้ระยะทาง 400 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง เร่งความเร็วได้จาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 3.5 วินาที เร่งถึง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 12 วินาที ความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
พื้นที่เก็บของภายในรถราวๆ 450 ลิตร และเก็บด้านหลังได้อีก 100 ลิตร ฐานล้อกว้าง 2.9 เมตร
รถยนต์ต้นแบบคันนี้เกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่าง อาวดี้ สปอร์ต (Audi Sport) และ ปอร์เช่ (Porsche) เริ่มจากการพัฒนาแพลตฟอร์มแบบเดียวกันกับที่ใช้บน เทย์คาน (Taycan) รุ่นล่าสุดของปอร์เช่ รวมถึงแบตเตอรี่ สามารถชาร์จไฟเข้าได้ถึง 80% ภายใน 20 นาที ผ่านระบบชาร์จแบบ 800 โวลต์
รูปลักษณ์ภายนอกด้านหน้าดีไซน์ดูเข้มและดุ ผ่านกระจังหน้าทรงแปดเหลี่ยม ไฟหน้า แมททริกซ์ แอลอีดี (Matrix LED) พร้อมดีไซน์ลายสายฟ้าและกันชนทรงสปอร์ต ด้านข้างในล้ออัลลอยขนาด 22 นิ้ว ยาง 285/30 พร้อมกับสเกิร์ตด้านข้างและประตูแบบไร้เบ้าจับ ช่องรับลมขนาดใหญ่ เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถระบายความร้อนแผงแบตเตอรี่ได้เพียงพอ
ด้านหลังยังมีความเป็นรถแบบคูเป้มากกว่า A7 Sportback ไฟท้ายพาดเป็นแนวยาวด้านหลังกันชนทั้งหมด
ห้องโดยสารใช้การตกแต่งเรียบง่าย หน้าจอสัมผัสสำหรับสั่งงานและหน้าจอแสดงผลแบบดิจิทัล หน้าจอจะตอบสนองต่อผู้ขับขี่ สามารถสั่งงานผ่านระบบเสียงได้
พวงมาลัยแบบอัลคันทาร่าวัสดุแบบใหม่ ระบบเลือกการขับขี่เลือกได้ ปรับตามฟีลลิ่งของรถ การจัดเรียงเบาะโดยสารให้นั่งได้สี่คน แต่ก็สามารถนั่งเบาะหลังได้สามคนอาจจะต้องเบียดเพิ่ม
รถยังติดตั้งระบบขับขี่อัตโนมัติ เลเวล 3 สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ การใช้แอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้มากมาย
คาดว่าจะเริ่มผลิตในช่วงปลายปี 2563 และส่งมอบได้ไม่เกินต้นปี 2564 อีก 2-3 ปีข้างหน้านี้เอง
