เฉลียงไอเดีย : ศุภโชค ปัญจทรัพย์ ปั้นแบรนด์แอทเซทไฟว์ ชูกลยุทธ์‘Customer Oriented’สร้างบ้านครองใจเจนวาย

ศุภโชค ปัญจทรัพย์

เด็กที่ตามคุณปู่และคุณพ่อไปไซต์งานก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ หลายโครงการของกลุ่มปัญจทรัพย์ จากที่เคยวิ่งเล่น ไปขี่จักรยาน จนซึมซับและได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่น

วันนี้เขาพร้อมจะบินเดี่ยว เป็นนักพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เต็มตัวภายใต้การดำเนินงานเองทั้งหมด คนที่กำลังพูดถึงอยู่ คือ โทนี่-ศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอทเซท ไฟว์ ดีเวลลอปเมนท์ ในวัย 37 ปี ทายาทรุ่น 3 ของกลุ่มปัญจทรัพย์ที่พัฒนาอสังหาฯมากว่า 65 ปี

“บ้านเป็นความต้องการพื้นฐาน โอกาสในธุรกิจนี้ยังมีอีกมาก แต่ต้องค้นหาความต้องการของลูกค้าให้เจอ เพื่อพัฒนาสินค้า ตอบสนองตามความต้องการของลูกค้าได้ ซึ่งกลุ่มลูกค้าของแอทเซทไฟว์เป็นตลาดเฉพาะเจาะจง หรือนิชมาร์เก็ต ซึ่งมีแนวโน้มจะขยายตัวมากขึ้น” ศุภโชคบอกอย่างมั่นใจ

ศุภโชคเล่าว่า บริษัท แอทเซท ไฟว์ฯ เดิมชื่อ อดามัส เรียลเอสเตท จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมหุ้นกับผู้ถือหุ้นคนอื่น แต่ในช่วงปี 2557 ได้เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดและเปลี่ยนชื่อเป็นแอทเซท ไฟว์ ในปัจจุบัน เป็นคำภาษาอังกฤษที่ตรงกับ “ปัญจทรัพย์” หรือทรัพย์ 5 อย่าง ซึ่งไม่ได้หมายถึงเงินทอง ในความหมายที่ “โชคชัย ปัญจทรัพย์” ต้องการสื่อสาร คือ ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ความอดทน ความขยัน และความกตัญญู ซึ่งแอทเซท ไฟว์ยึดหลักเหล่านี้ในการดำเนินงานขององค์กร

Advertisement

ศุภโชคเล่าถึงตัวเองว่า สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาตรี เริ่มต้นทำงานเป็นโบรกเกอร์ที่บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด และได้มาชิมลางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ช่วงปี 2547 ในส่วนธุรกิจกงสีของกลุ่มปัญจทรัพย์ไม่ได้มีการเปิดโครงการใหม่ มีแต่เปิดเฟสใหม่หลังช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 เขาจึงได้ในโครงการบ้านร่วมฤดี ซึ่งเป็นโครงการที่คุณแม่ของเขาร่วมทุนกับน้องสาว จากการเป็นโฟร์แมนเพื่อตรวจงานโครงการ ขยับมาเป็นฝ่ายการตลาดโครงการ รวมทั้งการเงินด้านติดต่อธนาคารเพื่อขอสินเชื่อ และเป็นผู้จัดการโครงการในปี 2550 โดยการทำงานที่นี่เขาได้เรียนรู้กระบวนการต่างๆ ทั้งหมดของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วยตนเอง ทั้งโครงการบ้านแนวราบ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ รวมทั้งคอนโดมิเนียม ทั้งนี้ กลุ่มปัญจทรัพย์ไม่ได้มีการพัฒนาโครงการใหม่ แต่ยังมีธุรกิจให้เช่าที่ดิน และมีที่ดินรอการพัฒนาย่านรามคำแหง 500 กว่าไร่ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งอาจจะนำมาพัฒนาโครงการในอนาคตได้

สำหรับการพัฒนาโครงการของแอทเซทไฟว์ ศุภโชคบอกว่า “อะไรที่เห็นในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหญ่อื่นๆ จะไม่เห็นจากแอทเซท ไฟว์เพราะเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นลูกค้า (Customer Oriented) และจะพัฒนาสินค้าให้เฉพาะเจาะจงกับลูกค้าแต่ละรายมากที่สุด ทั้งนี้ ด้วยฐานกลุ่มลูกค้าที่จะมีการซื้อที่อยู่อาศัยช่วงอายุ 25-40 ปี ที่เกิดระหว่างปี 2523-2540 หรือเรียกว่ากลุ่มเจเนอเรชั่นวาย (เจนวาย) ซึ่งผมก็อยู่ในกลุ่มนี้ เรียกได้ว่าแอทเซท ไฟว์ เป็นบริษัทของคนเจนวายที่สร้างบ้านเพื่อคนเจนวาย บริษัทจึงสามารถพัฒนาที่อยู่อาศัย ตาม Need and Want ของลูกค้าเจนวายได้ดีว่าต้องการอะไร โดยโครงการ วนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9-ศรีนครินทร์ ที่บริษัทได้พัฒนาในรูปแบบลักซ์ชัวรี มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท พื้นที่ 20 ไร่ จำนวน 69 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 20-40 ล้านบาท ที่ได้เปิดไปได้รับการตอบรับดีมียอดขายในช่วง 3 เดือนมากกว่า 50% แล้ว”

ศุภโชคบอกว่า แผนการพัฒนาโครงการในระยะต่อไปยังเน้นตลาดเรียลดีมานด์ บริษัทมีที่ดินเปล่า (แลนด์แบงก์) เก็บไว้พัฒนาโครงการใกล้ๆ กันกับโครงการวนาฯ และยังมองหาซื้อที่ดิน 2-3 แปลง บริษัทเน้นใกล้เมือง เดินทาง 30 นาที ถึงใจกลางเมือง สีลม สาทร เป็นต้น ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเซตอัพโมเดลธุรกิจใหม่ มีการเจรจากับทั้งพันธมิตรในประเทศและต่างประเทศ คาดว่าจะชัดเจนเร็วๆ นี้ สำหรับปีนี้ตั้งเป้าหมายรับรู้รายได้ 1,000 ล้านบาท และปี 2562 ตั้งเป้ารับรู้รายได้ 2,000 ล้านบาท โดยจะเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ มูลค่าราว 2,300 ล้านบาท ตั้งเป้าอัตราเติบโตรายได้ในปีต่อไป 10-15%

Advertisement

สำหรับมุมมองต่อภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 ศุภโชคมองว่า จะเป็นปีที่ยากและเหนื่อย เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจที่ยังต้องติดตามทั้งไทยและภาวะเศรษฐกิจโลก การเมืองและการเลือกตั้งของไทยที่กำลังจะเกิดขึ้นซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าใครจะมาจัดตั้งรัฐบาล นโยบายด้านเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรและจะต่อเนื่องหรือไม่ ผลกระทบจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ที่จะปรับเพิ่มขึ้นหลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวมทั้งมาตรการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาดูแลการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่จะบังคับใช้ โดยกำหนดอัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (แอลทีวี) ลดลง หรือให้เพิ่มเงินดาวน์ขั้นต่ำเป็น 20% ในการซื้อบ้านหลังที่สอง

ทั้งนี้ ซัพพลายคงค้างรอขายของยังเหลืออีกมาก คาดว่าซัพพลายที่จะเข้ามาใหม่ในปี 2562 อาจจะชะลอลงกว่าที่เปิดปีนี้ตามสภาพตลาด อย่างไรก็ดี ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2563 มองว่าจะทำให้แลนด์ลอร์ดมีการนำที่ดินออกมาในตลาดมากขึ้นทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หาที่ดินในการพัฒนาโครงการใหม่ง่ายขึ้น แต่เชื่อว่าที่ดินที่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีต่างๆ หากแลนด์ลอร์ดยังถือไว้อัตราการเติบโตของราคาที่ดินยังสูงและน่าลงทุนอยู่

สำหรับดีมานด์ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ในกลุ่มตลาดระดับกลาง ได้รับผลกระทบทำให้ตลาดไม่เติบโตมากนัก ส่วนกลุ่มตลาดระดับล่าง คาดว่าจะมีการซื้อที่อยู่อาศัยน้อย เน้นการเช่าไปก่อน ขณะที่ตลาดบน เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและมีความต้องการที่อยู่อาศัยต่อเนื่อง แต่ผู้ประกอบการต้องเลือกทำเลให้เหมาะสม และพัฒนาสินค้าให้ตรงใจลูกค้ากับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

“ยุคนี้เป็นยุคที่เปลี่ยนแปลงเร็วกว่าในอดีต ผู้ประกอบการต้องโฟกัสความต้องการลูกค้า ต้องไปนั่งในใจ เข้าใจไลฟ์สไตล์ ปัจจุบันเด็กสุดที่ซื้อบ้านกับเราราคา 20 ล้านบาท อายุเพียง 23 ปีเท่านั้น เพราะเขาทำธุรกิจเอง การมีเทคโนโลยีเข้ามาทำให้เด็กสามารถทำธุรกิจได้ง่ายและรวยเร็ว ซึ่งการซื้อบ้านต้องการพื้นที่ใช้สอยเต็มที่ มีพื้นที่ส่วนกลาง ผมเห็นโอกาสตรงนี้ สิ่งที่แอทเซท ไฟว์ทำเราคิดว่าเข้าใจความต้องการ และอยากทำบ้านให้คนรุ่นเดียวกันอยู่ และทำเรื่องที่เราถนัด” ศุภโชคกล่าวทิ้งท้าย

จุฑามาศ ศรีสวัสดิ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image