นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดหุ้นในข่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีว่า ปัจจัยบวกที่สนับสนุนตลาดมาจากปัจจัยภายนอกเป็นส่วนใหญ่ โดยเรื่องแรกคือการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เรื่องแนวโน้มดอกเบี้ยที่ชะลอลง ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) เริ่มกดต่ำลง ส่งผลให้หุ้นตลาดเกิดใหม่ รวมถึงดัชนีตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจมากขึ้น ผ่านเส้นผลตอบแทนที่กว้างขึ้น ต่อมาเป็นเรื่องตัวเลขภาคการผลิตทั่วโลก จากการเจรจาสงครามการค้าที่มีสัญญาณดีขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการทั่วโลกเพิ่มกำลังการผลิต และอีกปัจจัยบวกที่สำคัญคือราคาน้ำมัน โดยตั้งแต่ต้นปีหน้ากลุ่มโอเปคจะเริ่มลดกำลังการผลิต ขณะเดียวกันทางซาอุเตรียมประกาศว่าจะส่งออกน้ำมันลดลง
นายณัฐชาตกล่าวว่า ส่วนปัจจัยเสี่ยงมีอยู่ 3 ปัจจัย ได้แก่ 1.ประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนลดลง ทำให้กำไรสุทธิต่อหุ้น (อีพีเอส) ลดลงด้วย ทำให้มูลค่าหุ้นไปไหนได้ไม่ไกล 2.การลงทุนของนักลงทุนรายย่อยลดลง ทำให้หุ้นขนาดกลางและเล็กมีสภาพคล่องลดลง และ 3.ความคืบหน้าเรื่องเบร็กซิท หากมีการส่งร่างปัจจุบันเข้าสภา มีความเป็นไปได้ที่ร่างดังกล่าวจะไม่สภา ทำให้ค่าเงินปอนด์ยังคงแข็งค่า
“มองว่าช่วงที่เหลือของเดือนธันวาคม คาดการณ์ว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,580-1,630 จุด โดยระดับ 1,630 จุด ทำให้ช่องว่างของผลตอบแทนหรือ Earning Yield Gap กลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ย และมีพีอีอยู่ที่ระดับ 14 เท่า สะท้อนว่าคลาดมีเสถียรภาพมากขึ้นในช่วงหลัง ทำให้หุ้นอยู่ในโซนที่ปลอดภัย นักลงทุนสามารถเพิ่มเงินสดเพื่อเข้าลงทุนในหุ้นได้” นายณัฐชาตกล่าว
ส่วนหุ้นเด่นจะเป็นตัวไหน ต้องติดตามในรายการคลุกวงหุ้น!
เกาะกระแสเศรษฐกิจ กับ Line@มติชนเศรษฐกิจใกล้ตัว
