“ตลท.”มองหุ้นปีนี้ยังมีโอกาสผันผวน สรุป 3 ปัจจัยหลักกระทบภาวะตลาดหุ้น (มีคลิป)

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ความแตกต่างของภาวะตลาดหุ้นปี 2561 กับปี 2562 คือ ความขัดแย้งทางการค้าของสหรัฐกับจีนในปีที่ผ่านมา ทำให้เม็ดเงินไหลออกจากตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ ขณะที่ในปีนี้ตลาดรับรู้ปัจจัยดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ตามสงครามการค้ายังคงเป็นปัจจัยที่สร้างความไม่แน่นอนให้กับตลาด เพราะฉะนั้นความผันผวนจึงอาจจะเกิดขึ้นได้ สังเกตได้จากสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ปรับขึ้นครั้งละ 3%

“ความผันผวนในตลาดหุ้นยังคงมีอยู่ เพราะฉะนั้นจึงต้องติดตามบรรยากาศการลงทุนหุ้นทั่วโลก ทั้งนี้สังเกตว่ามีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ ขณะเดียวกันนักลงทุนสนใจลงทุนในอนุพันธ์มากขึ้น เพราะฉะนั้นจึงประเมินทิศทางการลงทุนในตลาดทุนว่าจะมีความสมดุลมากขึ้น จากภาวะการลงทุนที่จะต้องมีการปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่” นายภากรกล่าว

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ปัจจัยภายนอกประเทศที่มีผลต่อภาวะตลาดหุ้นปี 2562 ประกอบด้วย 1.สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ดำเนินมาต่อเนื่อง โดยจะสังเกตว่าจะมีการเจรจาสงครามการค้าเดือนวันเดือนคือ ในเดือนพฤศจิกายน 2561 และถัดมาคือในช่วงวันที่ 7-8 มกราคมนี้ 2.การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งประธานเฟดแจ้งว่าจะให้ความสำคัญกับภาวะตลาดทุนมากขึ้น ตลาดก็ต้องติดตามว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นไปในอัตราที่ชะลอลงหรือไม่อย่างไร  และ 3.ราคาน้ำมัน จากปีที่ผ่านมาที่ราคาน้ำมันผันผวนจากเรื่องดีมานด์และซัพพลายการใช้น้ำมัน

ส่วนปัจจัยการเมืองในประเทศ ถ้าดำเนินไปอย่างเรียบร้อย จะมีผลกระทบเชิงบวก แม้ว่าในปีที่ผ่านมาจะมีเงินไหลออกจากตลาดทุน แต่พบว่ามีเงินเข้าพักในตลาดพันธบัตรหรือตลาดตราสารหนี้ สะท้อนว่านักลงทุนต่างชาติยังมีความเชื่อมั่นการลงทุนในไทย แต่อาจจะต้องรอจังหวะการเข้ากลับมาลงทุนอีกครั้ง

Advertisement

อย่างไรก็ตามสำหรับภาวะตลาดหุ้นปีที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นปิดที่ 1,563.88 จุด ปรับลดลง 10.8% จากสิ้นปี 2560 และปรับลดลง 1.6% เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2561 โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 2.87 แสนล้านบาท มูลค่าการขายสุทธิสูงสุดในไตรมาส 2/2561 และลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นเอเชีย ขณะที่มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 5.76 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.1% และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแค็ป) อยู่ที่ 16.2 ล้านล้านบาท

เกาะกระแสเศรษฐกิจ กับ Line@มติชนเศรษฐกิจใกล้ตัว

Advertisement

เพิ่มเพื่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image