เป็นประจำทุกปลายปี บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี จัดทริปแถลงผลประกอบการของบริษัทในรอบปีพร้อมพาคณะสื่อมวลชนไปเปิดโลกกว้าง ปี 2561 ที่เพิ่งผ่านพ้น เคทีซีเลือกประเทศอียิปต์ ระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นำทีมคณะผู้บริหาร พร้อมทีมประชาสัมพันธ์ รวมกว่า 100 ชีวิต ไปศึกษาร่องรอยอารยธรรมอียิปต์โบราณ
ตลอด 1 สัปดาห์ เคทีซีจัดเต็มโปรแกรมให้ความรู้เกี่ยวกับประเทศที่เคยยิ่งใหญ่ คงจะบรรยายได้ไม่หมด จะขอเอ่ยเฉพาะบางส่วนของทริปนี้
เมืองแรกที่ไปทันทีที่เท้าแตะสนามบินไคโร คือ เมืองอเล็กซานเดรีย เมืองของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์แห่งกรีก เป็นผู้ค้นพบและแต่งตั้งขึ้นเป็นเมืองหลวง อยู่ทางเหนือสุดของอียิปต์ ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินราว 3 ชั่วโมงครึ่ง ด้วยระยะทาง 242 กิโลเมตร ปัจจุบันถือเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของอียิปต์ เป็นเมืองพักตากอากาศชายทะเลที่ได้ชื่อว่าเป็นไข่มุกแห่งเมดิเตอร์เรเนียน ด้วยเมืองแห่งนี้อยู่ติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ที่นี่จะเห็นศิลปะหลายแบบผสมกัน ทั้งของกรีก โรมัน ตุรกี เพราะเคยผ่านการปกครองมาจากหลายเผ่าพันธุ์ และที่นี่เคยเป็นสถานที่สำคัญในตำนานรักยิ่งใหญ่ของ พระนางคลีโอพัตรา และ มาร์ค แอนโทนี จอมทัพแห่งโรมัน นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่ใช้เป็นสุสานของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ รวมถึงประภาคารฟาโรสที่หายสาบสูญจากเหตุแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิเมื่อกว่า 1,600 ปี
ปัจจุบันรัฐบาลอียิปต์มีแผนจะสร้างพิพิธภัณฑ์ใต้น้ำหลังนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสส่งทีมดำน้ำสำรวจเมืองที่จมอยู่ใต้น้ำในอ่าวอเล็กซานเดรีย พบข้าวของที่เกี่ยวเนื่องในสมัยพระนางคลีโอพัตรา โดยองค์กรยูเนสโกให้เงินทุนสนับสนุนจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวที่ห้องสมุดใหม่แห่งอเล็กซานเดรีย
แต่โครงการนี้จนถึงปัจจุบันยังไม่แล้วเสร็จ ใครที่อยากเห็นสมบัติโบราณมากกว่า 2,000 ชิ้น และสฟิงซ์ 26 ตัว ที่จมอยู่ใต้น้ำต้องรอต่อไป
แต่เมืองแห่งนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ได้แก่ ป้อมปราการไควท์เบย์ (Qaitbay Citadel) สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 15 ที่ตั้งเดิมของประภาคารฟาโรส โดยสุลต่านไควท์เบย์ ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ทางทะเล, เสาปอมเปย์ (Pompeii’s Pillar) และ สุสานโรมันใต้ดินคาตาคอมป์ (Catacombs) ซึ่งเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งโลกยุคกลาง ที่ในอดีตชาวโรมันใช้เก็บศพมากกว่า 50,000 ศพ เป็นอุโมงค์ที่สร้างด้วยหินก้อนใหญ่ ขุดลึกลงไปใต้พื้นดิน มี 3 ชั้น มีบันไดวนเพื่อลงไปยังแต่ละชั้น ชั้นที่ 1 เพื่อลำเลียงโลงและศพ ชั้นที่ 2 เป็นที่ฝังศพ และชั้นที่ 3 เป็นที่รวมญาติเพื่อระลึกถึงผู้ตาย
จบทริปเมืองอเล็กซานเดรีย คณะมุ่งหน้ากลับกรุงไคโร เยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอียิปต์ ซึ่งรวบรวมศิลปะวัตถุโบราณมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง มีตั้งแต่วัตถุโบราณน้ำหนักมาก เช่น หีบศพ รูปปั้นขนาดใหญ่ของฟาโรห์และเทพต่างๆ แผ่นศิลา วัตถุโบราณของชาวเมืองโนเบียน เครื่องล่าสัตว์ เครื่องมือทำสงคราม เครื่องเรือน เครื่องมือทำศพมัมมี่ เครื่องประดับ เพชรนิลจินดาของฟาโรห์-มเหสี และพระญาติ
จุดไฮไลต์ที่ทำให้คณะตื่นตาตื่นใจคือห้องจัดแสดงสมบัติที่ขุดได้จากหลุมพระศพใน Valley of the King ได้แก่ โลงศพทองคำแท้ น้ำหนักกว่า 110 กิโลกรัม หน้ากากทองคำของฟาโรห์ตุตันคามุน รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์อีกมากมาย
อีกไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้คือ “มัมมี่” ซึ่งล้วนแต่เป็นฟาโรห์และเชื้อพระวงศ์นอนอยู่ในโลงแก้ว เรียงรายอยู่ในห้องจัดแสดง ยังคงสภาพสมบูรณ์ ไม่เน่าเปื่อย
จบอีกทริปไม่รอช้าไปต่อเมืองซัคคารา สถานที่ของบุคคลซึ่งเป็นผู้สร้างต้นแบบพีระมิด สิ่งมหัศจรรย์ของโลก นามว่า “อิมโฮเทป” (Imhotep) สถาปนิคเอกในสมัยฟาโรห์โจเซอร์ ผู้สร้างพีระมิดขั้นบันไดซึ่งประยุกต์มาจากหลุมฝังศพแบบ “มาสตาบา” ของชนชั้นสูงอียิปต์ในยุคแรกๆ อิมโฮเทปได้ออกแบบพีระมิดให้มีโครงสร้างใหญ่และสูงกว่าของมาสตาบา เปลี่ยนวัสดุใช้หินที่แข็งแรงกว่าของมาสตาบาที่ก่อสร้างด้วยอิฐโดยใช้โคลนเป็นตัวประสานอิฐ
ที่นี่มี พิพิธภัณฑ์อิมโฮเทป ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่อิมโฮเทปที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเทพองค์หนึ่ง เพราะความเก่งและรอบรู้ในหลายด้าน ทั้งงานปกครอง สถาปนิคและงานด้านการแพทย์
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะบอกถึงประวัติความเป็นมา การแสดงขั้นตอนวิธีสร้างพีระมิด รวมถึงจัดแสดงโบราณวัตถุหลายชิ้นที่นำมาจากสถานที่สร้างพีระมิด รวมทั้งผังการเข้าชมเพื่อให้เข้าใจในการเยี่ยมชม
ทริปต่อไป คณะมุ่งหน้าสู่ เมืองกีซา เพื่อดูความมหัศจรรย์ของพีระมิด 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก นั่นคือ มหาพีระมิดแห่งกีซา “คูฟู” ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในหมู่พีระมิตทั้งสามบนที่ราบสูงกีซา
พีระมิดคูฟูสร้างขึ้นในสมัยฟาโรห์คูฟู แห่งราชวงศ์ที่ 4 พีระมิดอีก 2 ลูกคือ พีระมิดคาเฟร สร้างโดย ฟาโรห์คาเฟร พระโอรสของฟาโรห์คูฟู และ พีระมิดเมนคูเร ซึ่งมีขนาดเล็กที่สุด สร้างโดย ฟาโรห์เมนคูเร พระนัดดาของฟาโรห์คูฟู
พีระมิดคาเฟรมีสฟิงซ์ที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพีระมิด แกะสลักจากหินก้อนเดียว ลำตัวยาว 73.5 เมตร สูง 21 เมตร ใบหน้ามีความยาว 5 เมตร จมูกยาว 2 เมตร ถูกสร้างขึ้นตามความเชื่อว่าสฟิงซ์เปรียบเสมือนตัวแทนของกษัตริย์ มีพลังเพื่อปกป้องพระศพและทรัพย์สมบัติภายในพีระมิด
ปัจจุบันมหาสฟิงซ์ตัวนี้สภาพไม่สมบูรณ์มากนัก เพราะผ่านกาลเวลาและเคยโดนแม่น้ำไนล์ท่วมถึงครึ่งตัว โดนกัดเซาะบริเวณฐานได้รับความเสียหาย
เป้าหมายต่อไปของทริปนี้อยู่ที่เมืองลักซอร์ เดินทางโดยสายการบินไปทึ่งกับภูมิปัญญาของชาวอียิปต์โบราณที่สามารถสร้างมหาวิหารที่ใหญ่โตราวกับยักษ์อยู่ โดยไม่มีเครื่องมือทันสมัย
ที่นี่คณะได้เข้าชม มหาวิหารคาร์นัก และ วิหารลักซอร์ ที่มีชื่อเสียงของโลก มหาวิหารคาร์นักนับว่าเป็นวิหารที่ใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุดของอียิปต์ ซึ่งเป็นจริงดั่งว่า เพราะแค่เพียงก้าวเท้าเข้าไปตามทางเดินก็สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ กำแพงหินสูงเสียดฟ้า ชวนให้สงสัยว่าสมัยเมื่อหลายพันปีก่อนคริสตกาลสร้างยังไง หัวหน้าไกด์เฉลยว่าใช้ดินถมเป็นกองดินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แทนนั่งร้าน เมื่อสร้างกำแพงเสร็จจึงค่อยทลายดินลงมา
เมื่อเดินเข้ามาด้านในก็ต้องตะลึงกับความใหญ่และคงความงดงามของเสาหินกลม ดูด้วยสายตา ความกว้างของเสาหินแต่ละต้นน่าจะมากกว่า 10 คนโอบรอบเสาได้ สำหรับมหาวิหารแห่งนี้สามารถบอกเรื่องราวและร่องรอยอารยธรรมที่แท้จริงของอียิปต์โบราณ ทั้งด้านศิลปะและวัฒนธรรมของคนในยุคนั้นผ่านการบอกเล่าโดยภาพบนฝาผนังและซากปรักหักพังของมหาวิหาร
มหาวิหารแห่งนี้และวิหารลักซอร์ ถูกสร้างขึ้นตามความเชื่อของคนอียิปต์โบราณเพื่อถวายแด่เทพเจ้าอามุน-รา (สุริยเทพ) ซึ่งถือว่าเป็นเทพที่สำคัญที่สุดในบรรดาเทพที่ชาวอียิปต์โบราณนับถือ เป็นสถานที่จัดพิธีกรรมต่างๆ เมื่อในอดีต
ที่เมืองลักซอร์มีพิพิธภัณฑ์เช่นกัน เป็นอีกหนึ่งสถานที่ให้ความรู้เรื่องราวในอดีต มีการจัดแสดงสิ่งของวัตถุโบราณที่ขุดค้นพบจากวิหารและสุสานต่างๆ ในเมืองลักซอร์ มีรูปปั้นฟาโรห์และบุคคลสำคัญอื่นๆ และยังมีการจัดแสดงมัมมี่ฟาโรห์ 2 พระองค์ คือฟาโรฟ์อาโมสที่ 1 และฟาโรห์องค์ที่ 1 แห่งราชวงศ์ที่ 18
ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ เคทีซีพาไปเยี่ยมชม The Valley of the Kings หุบผากษัตริย์ ซึ่งก็คือหุบเขาที่เป็นสุสานของฟาโรห์ บนเทือกเขาธีบัน (Theban) มีทั้งบรรพกษัตริย์ เหล่าราชวงศ์และขุนนางทั้งหลาย มีสุสานทั้งหมดอย่างน้อย 63 สุสาน และยังขุดค้นหาสุสานอยู่เรื่อยๆ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกปี ค.ศ.1979 และที่สุดท้ายของทริปคือ Valley of the Queen สุสานของ พระนางเนเฟอตารี พระมเหสีสุดที่รักของฟาโรห์รามเสสที่ 2 อยู่ตรงกับหุบผากษัตริย์ เมื่อหันหน้าไปทางทิศตะวันตกสู่ทิวเขาธีบัน เป็นสุสานที่ยังคงสภาพเกือบสมบูรณ์ที่สุด ลายและสีภาพวาดบนผนังชัดเจนและสวยงาม
ทั้งหมดนี้คือความรุ่งเรือง ยิ่งใหญ่เมื่อในอดีต ที่บรรพบุรุษสร้างไว้เป็นมรดกล้ำค่า ช่วยสร้างรายได้หลักสำคัญทางหนึ่งของประเทศอียิปต์ตราบจนถึงปัจจุบัน
เกษมณี นันทรัตนพงศ์