“บล.กรุงศรี” รุกดิจิทัลสร้างแพลตฟอร์มเดียวเข้าถึงทุกบริการ ตั้งเป้าท็อป15

นายอุดมการ อุดมทรัพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลยุทธ์ด้านดิจิทัล แพลตฟอร์ม ในปี 2562 บริษัทฯมีความพยายามในการพัฒนาแพลฟอร์มที่สามารถทำให้ลูกค้าเข้าถึงทุกบริการของบริษัทฯได้ภายในแพลตฟอร์มเดียว ซึ่งมองว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ลูกค้าอยากเข้ามาใช้บริการของบริษัทฯได้มากขึ้น โดยจะร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญทั้งในและนอกบริษัท เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มด้านการลงทุนขึ้นมาเองเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในโลกยุคดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วขึ้น โดยตั้งเป้าต้องการเป็นท็อป 15 ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันมีบัญชีลูกค้า 4-5 หมื่นราย และเป็นบัญชีที่มีการเคลื่อนไหว 1.8 หมื่นราย อีกทั้งยังมีกลุ่มเป้าหมายบัญชีใหม่อีก 5-6 พันรายด้วย โดยมุ่งเน้นการพัฒนานักลงทุนระดับพรีเมียมและรายย่อยไปพร้อมกัน ซึ่งต้องการอยู่ท็อป 5 ในใจของลูกค้า

นายอุดมการ กล่าวว่า บริษัทจะมุ่งเน้นบริการที่ให้ลูกค้าสัมผัสถึงประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นเริ่มตั้งแต่เริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางการลงทุน การเปิดบัญชีผ่านระบบออนไลน์ มีการทำการพิสูจน์และยืนยันตัวตนผ่านช่องทางออนไลน์ได้ (E-KYC) ตามข้อกำหนดของทางการ ลูกค้าสามารถเปิดบัญชีครั้งเดียวเพื่อทำธุรกรรมสินค้าประเภทต่างๆ ได้ในบัญชีเดียวและสามารถทำธุรกรรมการโอนผ่านมือถือได้ทุกที่ที่ต้องการ มีการวิเคราะห์สถานะพอร์ตการลงทุนและรวมรายงานการถือครองผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไว้ในระบบเดียว เพื่ออำนวยความสะดวกและทำให้ลูกค้าเห็นภาพรวมการลงทุนของตนเองไว้ในที่เดียว อีกทั้งมีการเตรียมความพร้อมของบุคลากรภายในองค์กรให้มีมุมมองในโลกยุคดิจิทัล และปลูกฝังแนวคิดในการสร้างความมั่งคั่งอย่างเป็นระบบ เพื่อก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลและนำเสนอบริการที่มีประสิทธิภาพเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอีกด้วย

นายอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2562 มองว่า ภาวะตลาดไม่ได้แย่มากเท่าที่ควร เนื่องจากคาดว่าในเดือนพฤษภาคม มีโอกาสที่เศรษฐกิจจีนจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าจีนมากขึ้น และไทยจะได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินเหล่านี้ด้วย สาเหตุมาจากคาดว่าจีนไม่น่าจะปล่อยให้เศรษฐกิจของประเทศชะลอตัวมากกว่านี้ เพราะจะส่งผลต่อการเจรจาการค้าร่วมกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งคนส่วนใหญ่จะมองจีนแค่มีการชะลอตัวของเศรษฐกิจเกิดขึ้น แต่ไม่ได้มองว่าจีนเป็นประเทศที่มีศักภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สูงมากและไม่มีประเทศอื่นสามารถทำได้ ในส่วนของการเมืองต้องติดตามนโยบายหลังการเลือกตั้งแล้วเสร็จ แต่ยังเชื่อว่าโครงการของภาครัฐยังเป็นส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้

นายอิสระ กล่าวว่า ภาพรวมการส่งออกไทยในปีนี้ คาดว่าจะยังไม่ฟื้นตัวในครึ่งปีแรก เพราะจีนยังอยู่ในภาวะสงครามการค้า แต่มองว่าการส่งออกไทยยังไม่ได้เข้าขั้นแย่ เนื่องจากการส่งออกไทยโตอยู่แล้วในระดับหนึ่ง และฐานการส่งออกในปี 2561 ก็ทำไว้ค่อนข้างสูง ทำให้หากภาพรวมการส่งออกไม่ติดลบก็ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยคาดว่าในช่วง 12 เดือนต่อจากนี้จะมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) เข้ามากว่า 1 แสนล้านบาท เนื่องจากในปี 2561 สหรัฐฯใช้นโยบายอเมริกาต้องมาก่อน กระตุ้นให้มีการนำเงินกลับเข้าประเทศ ทำให้อัตราการเติบโตและอัตราดอกเบี้ยต่างกับไทยมาก ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสหรัฐฯเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากตลาดรับรู้นโยบายและผลทั้งหมดแล้ว ทำให้มองว่าเม็ดเงินจะไหลกลับเข้าไทยมากขึ้นแทน โดยปัจจัยที่ยังต้องติดตามเป็นเรื่องของการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และประเทศที่ยังต้องระวังเป็นจีนและยุโรป เนื่องจากยุโรปมีความแข็งแรงมาก แต่ตกอยู่ในหลุมกลางสงครามการค้าของ 2 ประเทศ ทำให้ได้รับผลไปด้วย จึงมองว่าหากจีนฟื้นตัวได้ ยุโรปก็จะฟื้นตัวด้วยเช่นเดียวกัน

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image