เฉลียงไอเดีย : พิมล ศรีวิกรม์…ขอหยุดการเมือง ต่อยอดฝันของพ่อ ลุย‘TCMC’ทะยานระดับโลก

“ถ้าให้เล่นการเมือง ไม่เอาแล้ว” คุณเอ-พิมล ศรีวิกรม์ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวอย่างอารมณ์ดี ในห้วงบรรยากาศโหมโรงการจัดการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคมนี้

แต่คุณเอรับว่ามีติดต่อชักชวนให้กลับมาเล่นการเมืองในครั้งนี้เช่นกัน “ผมพอแล้ว ผมหยุดไป 5 ปีหลังจากติดอยู่ในบ้านเลขที่ 111 โดนโทษแบนต้องหยุดเล่นการเมือง 5 ปี จะกลับมาใหม่ก็ไม่ไหวแล้ว แต่ถึงไม่โดดลงไปสมัครเป็น ส.ส. เป็นกรรมการพรรค หรือเป็นสมาชิกพรรค ผมก็ยังยินดีช่วยอยู่ภายนอกพรรค สามารถให้คำแนะนำที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติได้”

คุณเอเป็นลูกชายคนโตของ คุณเฉลิมพันธ์ และ คุณหญิงศศิมา ศรีวิกรม์ จึงไม่แปลกที่จะสัมผัสการเมืองมาตั้งแต่เด็ก เพราะทั้งคุณเฉลิมพันธ์และคุณหญิงศศิมาต่างก็เคยอยู่ในแวดวงการเมือง ที่สำคัญคุณเอบอกว่า “ผมอยู่กับการเมืองมาตั้งแต่เด็ก เพราะคุณทวดฝั่งแม่ คือคุณควง อภัยวงศ์”

ควง อภัยวงศ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ก่อตั้งพรรค-หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) คนแรกนั่นเอง !

Advertisement

แต่คุณเอไม่ได้เดินเส้นทางการเมืองตามคุณทวดหรือคุณพ่อที่มาจาก ปชป. เส้นทางการเมืองคุณเอเริ่มต้นขึ้นเมื่อราวปี 2543-2544 โดยการชักชวนของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้วยการสังกัดพรรคไทยรักไทย

“ยอมรับว่าชอบ แต่พอมาถึงจุดๆ หนึ่ง ที่มาเจอ 111 ต้องเว้นวรรคการเมืองยาว เลยคิดว่างานการเมืองพอแล้ว” คุณเอเล่าย้อนถึงอดีต ซึ่งเป็นจังหวะที่คิดว่าควรต้องหยุด ด้วยเหตุผลสนับสนุนทางบ้านในฐานะเป็นพี่ชายคนโต เป็นช่วงเวลาที่คุณเฉลิมพันธ์จากไปแล้ว ขณะที่คุณหญิงศศิมาเกษียณจากการทำงาน จึงตัดสินใจมาดูแลธุรกิจของทางบ้านเต็มตัว เพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำ

นั่นคือธุรกิจพรม “ไทปิง” ที่เคยโด่งดังเมื่อในอดีต แต่ปัจจุบันคุณเอได้เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ “ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)” หรือ TCMC (TCM Corporation Plc.) ด้วยเหตุผลว่าต้องการผลักดันให้บริษัทมีความเป็นอินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายการนำบริษัทสู่ระดับโลก

“คุณพ่อตั้งบริษัทอุตสาหกรรมพรมไทย จำกัด (มหาชน) ทำพรมไทปิง เมื่อประมาณ 51-52 ปี ช่วยทำธุรกิจร่วมกันกับคุณแม่ ทำธุรกิจพรมซึ่งค่อนข้างขัดแย้งกับสภาพภูมิอากาศของไทยที่เป็นเมืองร้อน แต่คุณพ่อกับคุณแม่เป็น Entrepreneur คือชอบริเริ่มทำธุรกิจใหม่ๆ ทั้งพรม สุขภัณฑ์ รวมถึงสร้างคอนโดมิเนียม ถือเป็นรายแรกของไทยที่ทำ”

คุณเอเล่าถึงการทำธุรกิจรุ่นคุณพ่อคุณแม่ที่สร้างไว้ให้เป็นฐาน ซึ่งถึงแม้ว่าเป็นคนชอบคิดจับธุรกิจใหม่ๆ ที่ในเมืองไทยยังไม่เกิด ไม่มีมาก่อน แต่คุณพ่อเฉลิมพันธ์จะทำธุรกิจแบบ Conservative ไม่ขยายกิจการรวดเร็ว เพราะเคยได้รับประสบการณ์วิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 จนต้องขายกิจการบางส่วนออกไป

แต่สำหรับการทำธุรกิจแบบฉบับคุณเอ กลับมองหาโอกาสในการซื้อกิจการที่มีศักยภาพเข้ามาเสริม “ผมเป็น Shopper ครับ หลังจากเข้ามารับตำแหน่งประธานบริษัทแทนคุณพ่อ มียอดขายราว 700 กว่าล้าน หนี้สินมีไม่มาก บริษัทไม่อยู่ในภาวะวิกฤต เมื่อมีโอกาสจึงซื้อกิจการเข้ามา คือกิจการเก่าที่ขายให้ญี่ปุ่นในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งนั่นเอง เป็นบริษัทผลิตผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ บริษัท ที.ซี.เอช.ซูมิโนเอะ จำกัด โดยเราและญี่ปุ่นถือหุ้นฝ่ายละครึ่ง ปัจจุบันสร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้นจาก 1,200 ล้าน เป็น 1,500 ล้าน”

นับจากนั้นคุณเอก็ช้อปมาเรื่อย โดย 1 ปีถัดมาในปี 2558 ซื้อบริษัทผลิตโซฟาที่อังกฤษ “Alston’s Furniture Grop” ถือหุ้น 76% ปี 2559 ซื้อกิจการ DM Midland Group บริษัทผลิตโซฟาที่อังกฤษเช่นกัน ถือหุ้นสัดส่วน 75% ปี 2560 ซื้อธุรกิจพรมเพื่อการพาณิชย์จาก ไทปิง อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด ฮ่องกง ซึ่งก็คือบริษัทหุ้นส่วนเก่าของคุณพ่อเฉลิมพันธ์เมื่อครั้งก่อตั้งบริษัท อุตสาหกรรมพรมไทย จำกัด นั่นเอง

คุณเอบอกถึงการช้อปกิจการว่า “การซื้อกิจการถึงจะจ่ายมากแต่จับต้องได้เลย ส่วนการเริ่มต้นธุรกิจแบบนับหนึ่ง ตั้งแต่เริ่มลงเสาต้นแรก มันช้าและเหนื่อยกว่าจะเห็นดอกผล”

การซื้อกิจการไม่ใช่สักแต่ซื้อ ต้องเลือกซื้อธุรกิจที่มีศักยภาพ มีอนาคต และเป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องหรือสัมพันธ์กันกับธุรกิจที่มีอยู่ คุณเอย้ำว่าจะไม่ซื้อกิจการที่ไม่ถนัดเด็ดขาด ส่วนที่ไม่ซื้อมา 100% ให้คนในกิจการเดิมถือหุ้นด้วย เป็นการ Keep Managememt ให้งานรันได้ต่อ เพราะคุณเอไม่สามารถไปนั่งเฝ้ากิจการได้ตลอดเวลา

บริษัทโซฟา Alstons ที่ซื้อมา ทำธุรกิจมา 3 เจเนอเรชั่นแล้ว รุ่นสุดท้ายทายาทเป็นผู้หญิงไม่อยากทำต่อ เป็นบริษัทที่มั่นคง ใหญ่เป็นอันดับ 8 ในอังกฤษ มียอดขายประมาณ 30 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วน DM Midland Group ใหญ่เป็นอันดับ 2 มียอดขายประมาณ 70 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท ขณะที่ ที.ซี.เอช.ซูมิโนเอะ ที่ซื้อกิจการมาเป็นที่แรก มียอดขายประมาณ 1,200-1,300 ล้านบาท เมื่อรวมกับธุรกิจพรมที่ซื้อจากไทปิง อินเตอร์เนชั่นแนลฯ ได้แก่ บริษัท คาร์เปทอินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ที่มีสำนักงานขายทั่วโลก มีรายได้ประมาณ 3,500 ล้านบาท รวมรายได้จากบริษัทที่ซื้อกิจการมาทั้งหมดจะสร้างรายได้ให้ทีซีเอ็มซี เกือบๆ 10,000 ล้านบาท

“ปีนี้หยุดช้อปก่อน เป็นปีเคี้ยวย่อย หรือเป็นปีกวาดบ้าน จัดการกับกิจการที่มีให้เข้าที่เข้าทาง โดยในไทยมีแผนปรับโครงสร้างระบบการผลิต โดยย้ายการผลิตจาก 3 โรงงานไปรวมที่เดียวกันคือโรงงานของคาร์เปทอินเตอร์ฯ ที่มีขนาดใหญ่ และขายที่ของโรงงานที่เหลือ ส่วนบริษัทเฟอร์นิเจอร์ 2 แห่งที่อังกฤษจะนำมารวมกันเพื่อเตรียมนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่อังกฤษในปีหน้า (ค.ศ.2020) เพื่อนำเงินจากขายที่และระดมทุนผ่านตลาดอังกฤษมาชำระหนี้บางส่วน” พร้อมทั้งจัดหมวดหมู่ธุรกิจเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

Flooring กลุ่มธุรกิจพรมและวัสดุปูพื้น ภายใต้แบรนด์ “Royal Thai” และ “Carpets Inter” ซึ่งทั้ง 2 แบรนด์ยังคงทำตลาดแข่งขันกันอยู่ ไม่ใช่ผูกขาดตลาด ไม่เช่นนั้นสินค้าจากจีนจะเข้ามาชิงตลาดล่าง Living กลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ และ TCM Automotive กลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มบุในรถยนต์ เพื่อขยายยอดขายไปยังธุรกิจแบบ B2B หรือโครงการขนาดใหญ่ในกลุ่มธุรกิจไมซ์ โรงแรมระดับ 5-7 ดาว โครงการอสังหาฯระดับลักชัวรี่ และซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ เรือสำราญหรู

บทบาทนักการเมืองและนักธุรกิจฉายภาพออกมาแล้ว แต่ยังมีอีกบทบาทที่สร้างผลงานโดดเด่นเช่นกัน ในฐานะนายกสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย ที่สร้างผลงานให้นักกีฬาไทยคว้าเหรียญเงินและเหรียญทองแดงโอลิมปิกมาแล้ว

คุณเอบอกว่า ยังใฝ่ฝันอยากได้เหรียญทองโอลิมปิกอยู่ สำหรับแต่ละบทบาทที่ทำมามันแตกต่างกัน การทำกีฬาได้ Satisfaction ความภูมิใจ ความสะใจได้ทำอะไรให้คนไทย ได้สร้างรอยยิ้มให้คนไทย ได้เฮ ได้มีความสุข “จำได้ว่าตอนนักกีฬาเทควันโดไทยได้เหรียญโอลิมปิกมา ผมเดินเข้าไปในร้านเซเว่นฯสาขาหนึ่ง มีคนเดินมาทักถามว่าใช่นายกสมาคมหรือเปล่า แล้วก็ขอบคุณผม ขอบคุณที่ทำให้คนไทยมีความสุข ผมได้ฟังแล้วมันชุ่มใจ มีความรู้สึกว่าเงิน (ส่วนตัว) ที่เสียไปมันคุ้มค่า”

ส่วนการเมือง ตอนทำการเมืองก็ Happy ส่วนธุรกิจที่ทำอยู่ก็ดีใจที่ขยับขยายกิจการที่พ่อแม่สร้างไว้ “ทุกครั้งที่เข้าสวดมนต์จะนึกถึงพ่อและบอกท่านว่า พ่อเริ่มที่ 700 ล้าน ผมขยับมาเป็นหลักพันล้าน ที่ 1,500 ล้านแล้ว คิดว่าพ่อคงภูมิใจ” คุณเอกล่าวทิ้งท้าย

เกษมณี นันทรัตนพงศ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image