ดิจิเทรนด์ฟอร์เวิร์ด : จีนมาช้า แต่เหนือกว่า (จบ)

สัปดาห์ก่อนว่าด้วยสปีดของจีนด้านเทคโนโลยี ที่มาทีหลังแต่กำลังจะแซงโค้งผู้นำโลกอย่างสหรัฐและญี่ปุ่น ประกาศยุทธศาสตร์ชาติก้าวขึ้นเป็นผู้นำโลกด้านเอไอ หรือปัญญาประดิษฐ์ ภายในปี 2030 (พ.ศ.2573)

สัปดาห์นี้จะมาว่ากันต่อถึงจุดแข็งของจีน หลังจากสัปดาห์ก่อนนำเสนอจุดอ่อนบางประการของจีนไปแล้ว โดยจุดแข็งของจีนคือเรื่อง ข้อมูลดาต้า และ การใช้อินเตอร์เน็ตกับทุกสิ่ง หรือ อินเตอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ เนื่องจากจีนมีฐานประชากรผู้ใช้อินเตอร์เน็ตมากที่สุดในโลก

และทุกวันนี้ จีนได้ทดลองใช้รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเองอย่างจริงจัง และบริการลูกค้าในเว็บของอาลีบาบาเกือบทั้งหมดทำด้วยเอไอ หน้าแรกจะโชว์สินค้าอะไรให้ลูกค้าแต่ละคน โดยประมวลจากข้อมูลการซื้อสินค้าในอดีตของลูกค้าคนนั้น มี chatbot ตอบคำถามพื้นฐานของลูกค้า สามารถอนุมัติสินเชื่อได้ทันที โดยประมวลจากการใช้จ่ายในอดีตของลูกค้า คำนวณเส้นทางที่จะส่งของไปถึงบ้านให้เร็วที่สุด เป็นต้น

ระบบเอไอของจีนสามารถจดจำใบหน้าบุคคลตัวอย่าง 10 ล้านคนได้โดยแทบไม่ผิดพลาดในหลักวินาที และได้ประยุกต์ใช้กับการรักษาความสงบเรียบร้อย เช่น ตำรวจจีนเริ่มทดลองใส่แว่นตาที่สามารถจับทะเบียนรถและใบหน้าผู้ต้องสงสัยได้ รวมทั้งการชำระเงินโดยใช้การสแกนใบหน้า ซึ่งห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลของไทย กำลังจะนำมาใช้ เป็นความร่วมมือกับ JD.com หนึ่งในบริษัทอี คอมเมิร์ซ ของจีน นั่นเอง

Advertisement

ในตำราพิชัยสงครามของจีนมีคำกล่าวว่า ไม่สำคัญว่าฝ่ายไหนจะออกรบก่อน หรือว่ามีกำลังพลมากกว่า แต่สำคัญที่สุดท้ายแล้วใครคือผู้กำชัยชนะ จีนก้าวสู่ระบบโลกช้ากว่าชาติตะวันตกและญี่ปุ่น แต่ใช้เวลาไม่ถึง 40 ปีหลังจากปฏิรูปและเปิดประเทศเพื่อไล่ตามโลก จนใกล้จะแซงหน้าได้ในไม่ช้า นี่คือ “ความเร็วแห่งจีน” Speed of China

ประเทศไทย และคนไทย ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าคนจีนจะมาแย่งงานเหมือนเช่นในยุคเสื่อผืนหมอนใบ

แต่หากยังคงทำเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา จักรกลอัจฉริยะจะมาแทนที่แน่นอน!!

Advertisement

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image