‘บิ๊กตู่-สมคิด’ปลุกเอกชน ร่วมขับเคลื่อนศก.ปี”59

หมายเหตุ – พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย 2559” และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กล่าวในหัวข้อ “สรุปแนวทางการบูรณาการการขับเคลื่อนประเทศไทยระหว่างภาครัฐและเอกชนในปี 2559” ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกฯและหัวหน้า คสช.

วันนี้มีคนทวงว่ามานานแล้วเมื่อไรจะไปสักที เลยต้องแต่งเพลงที่ 2 ออกมา ประเทศวันนี้แม้ความเข้มแข็งไม่เพียงพอ ขีดความสามารถในการแข่งขันน้อย แต่ก็สามารถประคับประคองสถานการณ์มาได้ แต่ก็มีคนพยายามบิดเบือนว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเราเข้ามาบริหารประเทศ ยืนยันว่าการที่เข้ามาตั้งใจจะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น แก้ไขปัญหาทุกอย่างของประเทศ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว

ประเทศไทยมีเรื่องที่จะต้องปฏิรูปทั้งหมด 11 ด้าน 37 วาระ กับ 2 วาระที่ต้องพัฒนา แตกย่อยไปอีกจำนวนมาก ไม่รู้ว่าทำไปถึงชาติหน้าจะหมดหรือไม่ เพราะชาติที่แล้วไม่ค่อยทำกันเลย ต้องทำชาตินี้ และขณะที่กำลังดำเนินการก็ยังมีคนมาคอยบิดเบือนจนทำให้การพัฒนาล่าช้า

ผมพยายามใช้ช่วงเวลาที่วิกฤตขณะนี้มาเป็นโอกาสในการสร้างความเข้มแข็งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ในระบบเศรษฐกิจจะต้องพึ่งพาอาศัยกัน และเราต้องสร้างความเข้มแข็งให้ได้เพื่อที่จะได้มีที่ยืนในเวทีโลกอย่างมีเกียรติยศและศักดิ์ศรี ไม่เช่นนั้นพูดอะไรไปไม่มีใครได้ยินเพราะประเทศเล็ก และเรายังไม่แข็งแรงเพียงพอ เราต้องทำให้ประเทศแข็งแรงให้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้นด้วยทุกคนที่ต้องร่วมมือกัน

ADVERTISMENT

ผมเป็นทหารตลอดชีวิต แต่ยืนยันว่าจะทำทุกอย่างให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ทุกอย่างผมได้วางแผนงานเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาได้วางพื้นฐานโรดแมปของ คสช. ซึ่งผมไม่เคยบิดเบี้ยว แต่มีปัญหา ซึ่งไม่ใช่ของผมเพียงคนเดียว ทุกอย่างโยนมาให้ผมรับผิดชอบทั้งหมด โดยทุกคนจะไม่ร่วมมือไม่ได้ เพราะประเทศนี้ไม่ใช่ของผม แต่เป็นของคนไทยทุกคน ดังนั้นจะต้องช่วยกันคิดว่าทำอย่างไรให้ความขัดแย้งลดลงและไม่เกิดขึ้นอีก

ถ้าเราทำวันนี้ล้มเหลว วันข้างหน้าจะล้มเหลวยิ่งกว่านี้ เราก็จะเป็นรัฐที่ล้มเหลว วันข้างหน้าก็คงต้องต่างคนต่างอยู่อย่างอิสระเสรี ถ้าจะเอาอย่างนี้ก็ว่ากันไป แต่ผมยังยืนยันว่าจะทำงานแบบนี้ด้วยความร่วมมือของทุกคน

ผมจะทำตัวเป็นแก้วน้ำที่เต็มแล้วสำหรับคนบางประเภท แต่สำหรับเรื่องที่ไม่เคยรู้ผมก็จะเป็นแก้วน้ำครึ่งแก้ว ผมเป็นคนแบบนี้ จะรับฟังในสิ่งที่ผมควรจะฟัง สิ่งที่ไม่อยากฟังผมก็ค่อนข้างหงุดหงิดเพราะมันไม่เกิดประโยชน์กับผมและประเทศเลย มีแต่จะสร้างความขัดแย้งไปเรื่อยๆ จึงขอร้องให้ช่วยกัน

หลายครั้งทูตต่างประเทศเข้าพบก็ถามเรื่องการเลือกตั้งว่าจะมีปัญหากับการเป็นสมาชิกถาวรระหว่างประเทศหรือไม่ แต่เรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวกับผม แต่เกี่ยวกับท่านว่าจะยอมรับการเลือกตั้งดังกล่าวหรือไม่ ไม่ใช่ว่าจะเอาเรื่องทั้งหมดมาโทษผม เพราะผมบังคับใครไม่ได้อยู่แล้ว เพราะคนไทยไม่ชอบการบังคับ เราต้องดูกันด้วยสังคมแห่งความสงบสุข คนต้องอยู่ด้วยกฎหมายและสร้างความปรองดองระหว่างกัน

ต้องดูว่าสังคมแบบนี้จะบีบให้คนที่ไม่ดีอยู่ไม่ได้หรือไม่ คนดีคือคนที่ไม่ทำความผิด เรากำลังสร้างสังคมให้มีคุณธรรม สร้างองค์กรให้มีจริยธรรม มีธรรมาภิบาล เพื่อเตรียมการไว้สำหรับรัฐบาลเลือกตั้ง

วันนี้ต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน รัฐบาลทำเต็มที่เพื่อวางรากฐาน ซึ่งในระยะที่สองของการปฏิรูปทั้งหมดต้องเดินด้วยแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี แต่วันนี้ทำไปกลับติดปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชน ทำให้ทุกอย่างไปไม่ได้

คนไทยต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง วันนี้เราทำ 3 อย่าง คือ บริหารราชการแผ่นดินแบบบูรณาการ แก้ไขระบบบริหารราชการแผ่นดินใหม่ และห้ามมีผลประโยชน์ทับซ้อน นี่คือสิ่งที่รัฐบาลต้องการสร้าง แต่กลับถูกขัดขวาง ถามว่าที่ผ่านมานั้นดีนักหรืออย่างไร แล้วที่ผมทำนั้นผิดตรงไหน

รัฐบาลจะแก้ไข พ.ร.บ.การใช้งบประมาณใหม่ โดยรัฐบาลหน้าจะต้องประชุมก่อนเพื่อจัดทำงบประมาณ โดยงบประมาณปกติต้องลดลง และต้องพูดถึงงบประมาณตามแผนการปฏิรูปหรืองบประมาณเร่งด่วนของรัฐบาลด้วย โดยทุกกระทรวงต้องหารือร่วมกัน ให้มีคณะกรรมการขึ้นมาชุดเดียวเพื่อความสอดคล้อง ส่วนโครงการใดที่ไม่สำคัญหรือไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนก็ให้ตัดออกไปก่อน

ส่วนนักการเมืองผมไม่ยุ่งด้วย ขอแค่ให้นึกถึงประเทศ วันนี้ที่หลายประเทศมีความมั่นคงเพราะว่ามียุทธศาสตร์ในการพัฒนา แต่ทุกอย่างของไทยกลับเป็นนโยบายของพรรคการเมืองเป็นส่วนใหญ่ เป็นนโยบายสวยหรู บ้างก็ทำ บ้างก็ไม่ได้ทำ และไม่มีใครคอยจับต้องว่านโยบายเหล่านั้นพรรคการเมืองได้ทำหรือไม่

ดังนั้นทุกคนต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้พรรคการเมืองทำตามนโยบาย ผมไม่ได้ต้องการสืบทอดอำนาจ แต่วันนี้สืบเพราะใคร ถ้าไม่สืบเพราะประชาชน ให้ประเทศแข็งแรง ไม่ต้องมีการเสียเงินใต้โต๊ะ ผมกำชับทุกอย่าง ไม่ปล่อยให้มีการทุจริต

สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รองนายกรัฐมนตรี

ขณะนี้มีข่าวร้ายเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกพอสมควร เรียกว่าเป็นปีภาวะไร้กำลังขับเคลื่อน ไร้ความแน่นอน ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยดี ดังนั้นคนไทยจะต้องรอบคอบและมีสติ ใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์ครั้งนี้ เพราะทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส

เศรษฐกิจปีนี้ยังคงตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ 3.5% ตรงกับที่หลายสำนักของไทยประเมิน เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รัฐบาลจะไม่ประมาทและจะดูแลทุกอย่างให้เติบโตอย่างราบรื่น โดยจะพยายามให้เครื่องยนต์ต่างๆ ขับเคลื่อนอย่างเต็มที่

ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้ไปกระทรวงพาณิชย์เพื่อหารือถึงการส่งออกให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยปีนี้ไทยจะเน้นการขยายฐานการส่งออกกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) โดยจะไม่คิดแค่ว่าส่งออกไปประเทศเหล่านี้ แต่จะต้องมองประเทศเหล่านี้เป็นประเทศไทย คือจะต้องมีการสร้างแบรนด์สินค้า สร้างตลาดที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่การส่งออก เพราะประเทศเหล่านี้เศรษฐกิจเติบโตถึง 7-8% และไทยมีบริษัทที่แข็งแรงที่สุดในภูมิภาคนี้

นอกจากนี้จะให้ความสำคัญกับตลาดจีน ที่แม้เศรษฐกิจจะโตลดลง แต่คนจีนเป็นคนฉลาด เป็นโอกาสที่ไทยจะต้องเข้าไปเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้มากขึ้น

ด้านการลงทุนของภาครัฐ ได้ไปกระทรวงการคลังเพื่อติดตามการใช้จ่ายงบประมาณว่ากำลังไปได้ คาดว่าปีนี้จะมีเงินจากภาครัฐลงไปเหยียบแสนล้านบาท และได้หารือกับกระทรวงมหาดไทยที่จะนำเงินฝากขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) วงเงิน 300,000 ล้านบาท ที่ฝากไว้กับสถาบันการเงินออกมาใช้ให้ได้ การใช้เงินดังกล่าวจะไม่ใช้ซี้ซั้ว แต่ใช้เพื่อการพัฒนาวงการท่องเที่ยว สนับสนุนสินค้าชุมชน เพื่อทดแทนการส่งออกที่ไม่ค่อยดีนัก โดยมีแผนที่จะเข้าไปตรวจสอบการใช้งบประมาณทุกเดือน

แต่อยากถามเอกชนทั้งหลายว่าจะเริ่มลงทุนได้หรือยัง ปีนี้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ประเมินว่ามีเม็ดเงินลงทุนเข้าระบบจริง 600,00-700,000 ล้านบาท ซึ่งภาครัฐจะประคองตัวเลขการลงทุนดังกล่าวนี้ให้ได้

ยอมรับว่ารัฐบาลเองมีเวลาเหลือในการบริหารประเทศอีกปีครึ่ง ดังนั้นผมจะต้องขี่กระแส ความหมายคือจะพยายามวางรากฐานของเศรษฐกิจให้แข็งแรง โดยจะทำ 3-4 เรื่องต่อไปนี้คือ 1.จะสร้างสมดุลความเจริญของเมืองและเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยจะเข้าไปพัฒนาสินค้าชุมชนทั่วประเทศให้ดียิ่งขึ้น พร้อมยกราคาสินค้าเกษตรที่ปัจจุบันตกต่ำลง 50% ให้กลับมาดีขึ้น เพราะกลุ่มนี้คือกลุ่มที่มีอำนาจซื้อหลักในระบบ หากกลุ่มนี้ไม่มีกำลังซื้อ บริษัทเอกชนใหญ่ๆ ก็ไม่สามารถขายสินค้าได้ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ยอดขายลดลง

จะสนับสนุนให้เอกชนเข้าไปตั้งโรงงานแปรรูปทั่วประเทศ จากเดิมที่ไปกระจุกตัวในพื้นที่อุตสาหกรรมเป็นหลัก และวันที่ 26 มกราคม จะเสนอโครงการพัฒนาความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานรากตามประชารัฐต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะใช้งบประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท ให้หมู่บ้านละไม่เกิน 5 แสนบาท รวม 7 หมื่นหมู่บ้าน โดยใช้งบประมาณของรัฐเพื่อให้นำมาซื้อเครื่องมือแปรรูปพัฒนาหมู่บ้าน ใครเสนอก่อนได้ก่อน เพื่อให้โครงการเดินคู่กับตำบลละ 5 ล้านบาทก่อนหน้านี้

รวมทั้งจัดทำโครงการสมาร์ท ฟาร์มเมอร์ เพื่อให้ชุมชนร่วมมือกันพัฒนาด้านการเกษตร โดยใช้เงินกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เมื่อพัฒนาแล้วจะมีตลาดประชารัฐที่จัดทำโดยกระทรวงพาณิชย์เพื่อเป็นตลาดกลางสินค้าทั่วประเทศ และยกระดับท่องเที่ยว เปิดถนนคนเดินทั่วประเทศ

2.จะจัดทำไทยแลนด์สปริงอัพ ให้เอกชนยกระดับตัวเอง จากเดิมเน้นก๊อบปี้แอนด์ดีเวลลอปเมนต์มาเป็นอาร์แอนด์ดี ซึ่งภาคเอกชนจะช่วยเหลือเรื่องข้อมูล ขณะเดียวกันวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอซีที) จะร่วมกันจัดงานไทยแลนด์สตาร์ตอัพให้กับเอสเอ็มอี 1,000 รายทั่วประเทศ 3.จะดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางดิจิตอลของอาเซียน และ 4.จะปรับแก้ขั้นตอนการทำงานของรัฐให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่ผ่านมาเราไม่ได้ล้มเหลว แต่เป็นเพราะรัฐเอกชนไม่ได้ร่วมมือกันอย่างจริงจัง เห็นได้จากไทยติดอันดับที่ 21 ของโลกเกี่ยวกับอันดับประเทศที่น่าลงทุนและมีภาคการท่องเที่ยว อยากให้มองว่าประเทศไทยยังมีโอกาส

ยืนยันว่าภาครัฐจะเข้ามาดูแลภาคเอกชน เราจะมาเริ่มต้นกันใหม่ จะเปลี่ยนสิ่งที่ไม่ดีให้เป็นโอกาส และสิ่งที่สำคัญในขณะนี้คือ เอกชนขนาดใหญ่มีความแข็งแรง ดังนั้นรัฐบาลจึงอยากให้เอสเอ็มอีปรับตัวเพื่อก้าวไปเป็นบริษัทขนาดใหญ่ ไม่เช่นนั้นเราก็จะเป็นเอสเอ็มอีไปทั้งชาติ