สรท.ชี้เป้าใหม่3%ยังต้องทำงานหนัก แนะรัฐเพิ่ม2 โซนใหม่รักษาส่งออก

แฟ้มภาพ

เมื่อวันที่ 13 เม.ย.นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สรท.) เปิดเผยว่า สรท.ได้ปรับเป้าตัวเลขส่งออกปี 2562 ใหม่ตั้งแต่การแถลงข่าวรอบที่ผ่านมาโดยได้ปรับลดจากเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ที่ 5% เหลือ 3% เนื่องจากเห็นว่าสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจะส่งผลทุกประเทศก็จะได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามเป้าส่งออกที่ 3% นั้นยังเป็นเป้าที่เอกชนจะต้องทำงานอย่างหนักด้วยคือช่วงที่เหลือจากนี้ไปจะต้องทำให้ได้ไม่ต่ำกว่า 22,000 ล้านเหรียญสหรัฐถึงจะได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวไม่ได้ทำได้ง่าย ซึ่งภาครัฐและเอกชนจะต้องร่วมมือกันผลักดันและหามาตรการเพื่อขยายการค้าไปยังตลาดอื่นๆ ที่มีโอกาสดีด้วย

นายวิศิษฐ์กล่าวว่า สำหรับตลาดที่ยังพอไปได้ คือ สหรัฐอเมริกาและจีน แต่ต้องดูบางสินค้า โดยตลาดสหรัฐอเมริกายังพอมีช่องว่างที่จะขยายตลาดได้โดยเฉพาะสินค้าสำเร็จรูปที่ไม่สามารถทดแทนได้ ซึ่งหากทำได้ก็จะเป็นผลดีและเชื่อว่าจะทำให้การส่งออกไปยังสหรัฐโตได้ไม่ต่ำกว่า 7-10% ส่วนตลาดจีนนั้นขณะนี้มีปัญหาเรื่องสินค้าวัตถุดิบและสินค้าทุน ซึ่งที่ผ่านมาสินค้าเหล่านี้ส่งออกได้ลดลง ดังนั้นต้องไปดูช่องว่างอื่นของตลาดโดยเฉพาะสินค้าวสำเร็จรูป ผักและผลไม้สด ซึ่งสินค้าเหล่านี้ได้รับความสนใจที่ดีจากคนจีน โดยหากสามารถนำสินค้าเหล่านี้ไปเจาะตลาดได้เชื่อว่าจะทำให้ตลาดจีนโตได้ไม่ต่ำกว่า 5%

นายวิศิษฐ์กล่าวว่า นอกจาก 2 ตลาดที่กล่าวมาแล้ว ภาครัฐจะต้องหาและทำตลาดใหม่ในโซนใหม่ๆ อีก 2 โซน คือ 1.โซนเดิมที่เติบโตดี ในที่นี้คืออาเซียนบวก 3 เนื่องจากตลาดเหล่านี้มีกำลังซื้อดี ซึ่งช่องทางการทำการตลาดคือจะต้องขายของทั้งที่เป็นแบบโออีเอ็ม (สั่งผลิต) และการสร้างแบรนด์สินค้าของตัวเอง จากเดิมที่ไปในนามประเทศไทย ผู้ประกอบการก็จะต้องทำแบรนด์ของตัวเองหรือเป็นแบรนด์ย่อยให้มากขึ้น เพื่อเจาะตลาดเฉพาะ ซึ่งแบรนด์ใหม่ในโซนนี้เชื่อว่าจะไปได้ เพราะตลาดมีความแตกต่างจากตลาดหลักอย่างสหภาพยุโรป (อียู) และสหรัฐที่จะทำแบรนด์ใหม่ได้ค่อนข้างยาก ซึ่งการทำแบรนด์ใหม่ควบคู่กับไปการผลิตแบบโออีเอ็มนั้นจะส่งผลเพิ่มกำลังการผลิตและลดต้นทุนการผลิตสินค้าได้ เพราะมีการผลิตเป็นจำนวนมากในคราวเดียวกัน

นายวิศิษฐ์กล่าวว่า สำหรับมาตรการที่เอกชนจะนำเสนอในการหารือกับกระทรวงพาณิชย์ในช่วงปลายเดือนเมษายน-ต้นเดือนพฤษภาคมนั้นจะนำเสนอใน 2 ประเด็นคือ 1.จะเสนอให้ภาครัฐเดินหน้าต่อการจับคู่ธุรกิจหรือ บิสสิเนซแมชชิ่ง โดยจะต้องดำเนินการร่วมกับโฮลเซลและรีเซลเลอร์ เพื่อนำสินค้าไปเสนอขายและขณะเดียวกันเราก็จะต้องซื้อเครื่องจักรมาทดแทนด้วย เพราะธุรกิจจะต้องมีการปรับปรุงเทคโนโลยี ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวถือเป็นการแลกเปลี่ยนกันและกัน 2.จะขอให้ภาครัฐโดยเฉพาะหลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้วจะต้องเดินหน้าในการเจรจาข้อตกลงทางการค้า (เอฟทีเอ) ที่เคยมีการหารือไว้แล้วให้เดินหน้าต่อหรือมีผลทางปฏิบัติ ซึ่งการทำดำเนินการเรื่องนี้จะต้องดำเนินการกับทั่วโลกที่เราได้ไปตกลงกันไว้แล้ว

Advertisement

“ภาครัฐและเอกชนจะต้องมานั่งหารือกันว่า ผู้ประกอบการแต่ละรายแต่ละกลุ่มเป็นอย่างไร กลุ่มไหนพอไปได้หรือไปได้ดี และกลุ่มไหนไปไม่ได้ พอได้แล้วก็ต้องแยกประเภทออกมา เพื่อดูแลในเรื่องต่างๆ โดยหากกลุ่มที่ไปได้ดีก็ต้องช่วยผลักดันส่วนกลุ่มไหนที่ไม่ไหวภาครัฐก็จะต้องเข้ามาช่วยเยียวยาด้วย เพื่อช่วยให้การส่งออกของไทยไปได้”นายวิศิษฐ์กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image