ตอนแรกก็ดูเหมือนจะเดินหน้าได้ราบรื่น แต่เอาเข้าจริงการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเบา (แทรม) ในจังหวัดภูเก็ต ระยะแรก ช่วงท่าอากาศยานภูเก็ต-ห้าแยกฉลอง ระยะทาง 41.7 กิโลเมตร (กม.) วงเงินลงทุน 3.48 หมื่นล้านบาท ยังสาละวนอยู่กับที่
ล่าสุดเจอปัญหาความเห็นไม่ตรงกันระหว่างการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กับกรมทางหลวง (ทล.) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมทั้งคู่ เนื่องจากกรมทางหลวงเกรงว่าจะมีปัญหาในเรื่องอุบัติเหตุและปัญหาจราจรติดขัด
ทำให้ นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มีคำสั่งให้ รฟม.ไปทบทวนแบบก่อสร้างใหม่ เพื่อลดปัญหาการจราจรบนถนน โดยให้ปรับลดการใช้พื้นที่เขตทางก่อสร้าง โดยเฉพาะบริเวณที่จะเป็นสถานีรับส่งผู้โดยสารซึ่งเดิมออกแบบจะก่อสร้างคร่อมถนน มีบันไดเลื่อน และลิฟต์ ซึ่งจะต้องใช้พื้นที่จำนวนมาก
โดยเสนอให้ปรับจุดตรงสถานีใหม่ โดยทำเป็นแยกสัญญาณไฟแทน แล้วใช้วิธีทำทางม้าลายเพื่อข้ามถนน ทั้งนี้ ก็จะให้รถยนต์ และรถไฟจะต้องติดไฟแดง เพื่อลดต้นทุนก่อสร้างด้วย ขณะเดียวกันก็ให้ทำจุดกลับรถใต้ดินเพิ่มอีก 3 จุด
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาแนวทางดังกล่าว เหมือนจะเป็นการย้อนกลับไปยังจุดเริ่มที่ต้นที่เริ่มศึกษาโครงการเมื่อหลายปีก่อน โดยช่วงนั้นมีแนวคิดจะก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าระดับพื้นดิน แล้วใช้สัญญาณไฟจราจรในการบริหารจัดการเดินรถบริเวณแยกต่างๆ แทนการทำทางยกระดับ
แต่ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การทำทางระดับดินตลอดแนวเส้นทางอาจจะมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากอาจจะมีรถยนต์ หรือจักรยานยนต์แอบเข้ามาวิ่งด้วย เพราะถึงแม้จะมีระบบของต่างประเทศเป็นแบบอย่างที่สามารถดำเนินการได้ แต่เรื่องระเบียบวินัยการจรจรของคนไม่กัน โดยเฉพาะรถมอเตอร์ไซค์
อย่างไรก็ตาม การให้รถไฟฟ้าติดไฟแดงเหมือนกับรถยนต์ ก็อาจจะส่งผลให้การให้บริการไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร และไม่เป็นการจูงใจให้คนใช้บริการ เพราะผู้ใช้บริการส่วนใหญ่รู้สึกว่าการใช้รถไฟฟ้าจะต้องสะดวก รวดเร็ว และที่สำคัญต้องประเมินระยะเวลาในการไปยังจุดหมายปลายทางได้
หากนั่งรถไฟฟ้าแล้วยังต้องไปติดอยู่บนถนนเป็นชั่วโมง ก็คงจะไม่มีใครอยากใช้บริการเท่าไหร่ สู้นั่งรถแท็กซี่หรือรถเช่า ที่สามารถลัดเลาะหลบหลีกเส้นทางรถติดได้น่าจะดีกว่า
ที่สำคัญทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 402 ซึ่งเป็นเส้นทางก่อสร้างรถไฟฟ้าภูเก็ต ปัจจุบันมีปัญหาจราจรติดขัดและมีสัญญาณไฟจราจรมากถึง 11 จุด ส่งผลให้รถยนต์ทำความเร็วเฉลี่ยได้เพียง 30-40 กม.ต่อชั่วโมง เท่านั้นเอง!!
นายขันตี
