| ผู้เขียน | ภคพร บุญมี |
|---|
ตอนนี้เกษตรกรเริ่มคุ้นชินกับ โครงการเกษตรแปลงใหญ่ ของรัฐ จุดประสงค์ต้องการสนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มและบริหารจัดการร่วมกัน โดยครอบคลุมตั้งแต่ต้นทางการผลิต กลางทางคือแปรรูป ทำการตลาด และปลายทางคือการจัดจำหน่าย โดยรัฐบาลให้การรับรองว่าผลิตแล้วมีตลาดรองรับแน่นอน และรัฐยังเข้าไปมีบทบาทช่วยเหลือผู้เข้าร่วมโครงการ ลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตทั้งปริมาณและคุณภาพ
ก่อนหน้านี้ก็นำร่องด้วยพืชเศรษฐกิจอย่างการเพาะปลูกข้าว แรกๆ อะไรที่ใหม่ก็ดูจะคึกคัก แต่นานวันเข้ากระแสก็เริ่มเปลี่ยนไป!!
ประเด็นหนึ่งที่เป็นอุปสรรคคือ เกษตรกรบางส่วนที่ยังไม่เข้าใจว่าเกษตรแปลงใหญ่ทำให้ประหยัดต้นทุนได้อย่างไร บางพื้นที่ไม่มีหน่วยงานเข้าไปให้ความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกร แม้จะได้ยินมาว่ารัฐหนุนทำเกษตรแปลงใหญ่ แต่ทางปฏิบัติไม่มั่นใจและไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนดี เพราะทุกอย่างที่เปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลาและเงินทุน
ขณะที่เกษตรกรบางกลุ่มที่ประสบความสำเร็จจากการทำเกษตรแปลงใหญ่ ก็ยังต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่สนับสนุนโครงการแบบนี้ต่อเนื่อง
ทำให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่ตรวจสอบ ล่าสุดที่ จ.สุพรรณบุรี ที่มีสมาชิกแปลงใหญ่ 83 ราย พื้นที่ 1,030 ไร่ ที่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้สาธิตและถ่ายทอดเทคโนโลยีการใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ทันสมัยในกระบวนการผลิตข้าวในแปลงต้นแบบ 20 ไร่อาทิ การใช้ระบบการทำนาหยอดข้าว ที่ควบคุมด้วยระบบจีพีเอส พบว่าสามารถลดเมล็ดพันธุ์เหลือเพียง 8 กิโลกรัม/ไร่ และสามารถลดต้นทุนได้ถึง 500 บาท/ไร่
และชั่งน้ำหนักแล้วว่าเป็นโครงการที่ควรเดินหน้าต่อ!!
นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า อยู่ระหว่างการขับเคลื่อนให้เกิดศูนย์ปฏิบัติการหลัก ที่ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรฯ ในการจัดการข้อมูลเพื่อสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและเกษตรกรโดยเฉพาะเกษตรกรในกลุ่มแปลงใหญ่ได้นำไปใช้ ถือเป็นครั้งแรกของกระทรวง เป้าหมายจัดทำแปลงเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะใน 5 ชนิดพืช ได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ้อย มันสำปะหลัง และสับปะรด โดยในแผนจะเพิ่มพืชอื่นอีก เช่น ทุเรียน
คงต้องติดตามกันต่อไปว่า “เกษตรแปลงใหญ่” เมื่อหน่วยงานปฏิบัติยังเห็นควรเดินหน้าโครงการและยังตอบโจทย์ได้ตามวัตถุประสงค์ ก็ขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีคนใหม่และรัฐบาลใหม่จะเอาด้วยหรือไม่
