| ผู้เขียน | นายมะดัน |
|---|
ข่าวล่ามาไวในวงการไอที เมื่อกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติของจีน ออกใบอนุญาตให้บริการสื่อสารโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 5G สำหรับใช้ในเชิงพาณิชย์ แก่บริษัทผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมของรัฐ 4 แห่ง ได้แก่ บริษัทไชน่า โมบาย, ไชน่า ยูนิคอม และไชน่า เทเลคอม รวมทั้ง ไชน่า บรอดเคสติ้ง เนทเวิร์ค เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถือเป็นสัญญาณการบุกเบิกการลงทุนครั้งใหญ่ในตลาดโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ท่ามกลางศึกพิพาทเทคโนโลยีระหว่างจีนและสหรัฐ ที่กำลังร้อนระอุ!
ระบบ 5G เป็นเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่เจเนอเรชั่นใหม่ที่ช่วยให้การถ่ายโอนข้อมูลทำได้เร็วมากขึ้น และช่วยเสริมความก้าวหน้าของเทคโนโลยีหลายอย่าง เช่น ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ, การวินิจฉัยทางการแพทย์ทางไกล และการทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยจีนเริ่มทดลองใช้ระบบนี้ในหลายเมืองตั้งแต่ปีที่แล้ว การออกใบอนุญาตนี้จึงถือเป็นครั้งแรกในการไฟเขียวให้ขยายเครือข่าย 5G เพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ โดยวางแผนจะใช้ 5G อย่างครอบคลุมทั่วประเทศภายในปี 2563
และล่าสุด “หัวเว่ย” ได้ลงนามในสัญญาร่วมกับบริษัท โทรคมนาคม เอ็มทีเอส ของรัสเซีย เพื่อพัฒนาเครือข่าย 5G ในรัสเซีย ปีหน้า โดยการลงนามเกิดขึ้นนอกรอบการพบปะกันระหว่างประธานาธิบดี สี จิ้นผิง กับประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ที่กรุงมอสโก อีกทั้ง “หัวเว่ย” ยังได้ลงนามร่างข้อตกลงฉบับหนึ่งกับสหภาพแอฟริกา เพื่อร่วมมือในการติดต่อสื่อสารผ่านระบบ 5G
ขณะที่ “เกาหลีใต้” เป็นประเทศแรกของโลกที่เปิดให้บริการเครือข่าย 5G ทั่วประเทศเมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ส่วนในสหรัฐ บริษัท เวอไรซอน เริ่มให้บริการที่นครชิคาโกและมินนีแอโพลิส สำหรับญี่ปุ่นคาดว่าจะเริ่มใช้ในปีนี้ก่อนเปิดบริการเต็มที่ตั้งแต่ปีหน้า รองรับการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก
จะเห็นว่าความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจะทำให้จีนรุดหน้าการแข่งขันบนเวทีโลกด้านการขยายโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม แต่เกิดขึ้นในบรรยากาศที่บริษัทเครือข่ายโทรคมนาคมรายใหญ่ของจีนกำลังตกที่นั่งลำบาก สืบเนื่องจากกรณีที่สหรัฐขึ้นรายชื่อ “หัวเว่ย เทคโนโลยี” ในบัญชีดำการค้า
ความปั่นป่วนของ “สงครามการค้า” ลามปามไปถึง “โลกเทคโนโลยี” ระหว่างสหรัฐและจีน ใครจะขึ้นแท่นเป็น “เจ้าแห่งเทคโนโลยี” ต้องจับตา
