สวัสดีครับ คอลัมน์ “คิด เห็น แชร์” วันนี้ ผมจะขอวิเคราะห์ถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ ที่เริ่มมีโอกาสจะพักฐานหลังจากปรับขึ้นมาต่อเนื่อง ทะลุ 1,700 จุด ว่าปัจจัยต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศในขณะนี้จะสนับสนุนให้ SET index ที่กำลังจะพักฐานในขณะนี้ เป็นการพักระยะสั้นแล้วเป็นขาขึ้นต่อ หรือเป็นการจะจบขาขึ้นแล้ว
มาพิจารณาปัจจัยที่เกื้อหนุนดัชนี SET index ในช่วงที่ผ่านมาก่อนนะครับ 1.เม็ดเงิน Fund flow แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศหลักหลายประเทศจะเริ่มชะลอตัว แต่ดัชนีตลาดหุ้นในหลายประเทศกลับปรับตัวขึ้น เนื่องมาจากการส่งสัญญาณโอกาสในการลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟด (ฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ ประเมินว่ามีโอกาสที่เฟดจะทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุมปลายเดือนกรกฎาคมนี้) เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐเริ่มส่งสัญญาณการเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลง ซึ่งการส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดนี่เองที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังเม็ดเงิน Fund flow ที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาเนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง รวมทั้งธนาคารกลางในเอเชียหลายประเทศเริ่มส่งสัญญาณการลดดอกเบี้ยเช่นกัน
ขณะที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทยยังส่งสัญญาณการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับว่าการเข้าเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยจะได้ผลตอบแทนทั้งจากการที่ราคาหุ้นปรับขึ้นและกำไรจากค่าเงินนั่นเอง และจะเห็นได้ชัดว่าประเด็นเรื่องแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง ทำให้หุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ, ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง เช่น หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า, กองทุน REIT, กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น ปรับขึ้น Outperform ตลาดฯ
2.ประเด็นเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ที่พักรบชั่วคราวทำให้นักลงทุนเริ่มที่จะมองข้ามปัจจัยลบจากประเด็นนี้ไป และมีความหวังที่ทั้ง 2 ประเทศจะเดินหน้าเจรจาการค้ากันต่อไป (อย่างไรก็ดี กำแพงภาษีของทั้งประเทศที่เคยประกาศไปแล้วยังคงมีผลอยู่จนกว่าทั้ง 2 ประเทศ จะบรรลุการเจรจา)
3.ปัจจัยในประเทศ ซึ่งก็คือความคาดหวังเรื่องการเดินหน้านโยบายโครงการลงทุนต่างๆ ของรัฐบาลก่อนหน้า และรวมถึงการประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเพื่อประคับประคองภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มส่งสัญญาณการชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก ทำให้หุ้นที่คาดหวังว่าจะได้รับอานิสงส์อย่างกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม, ค้าปลีก, การบริโภคในประเทศ เป็นต้น ปรับตัวขึ้นตอบรับประเด็นนี้ จะเห็นได้ว่าดัชนี SET index ปรับตัวขึ้นมาตอบรับประเด็นบวกเหล่านี้มาแล้ว
ดังนั้น ผมเชื่อว่าขณะนี้นักลงทุนที่เข้าซื้อหุ้นมาก่อนหน้านี้ กำลังรอฟังข่าวบวกเพิ่มเติม และหากประเด็นต่างๆ ที่คาดหวังไว้ ไม่เป็นตามคาด เช่น ที่ประชุมเฟดยังไม่ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนกรกฎาคมนี้ สงครามการค้าลุกลามเพิ่มเติม นโยบายรัฐบาลใหม่ ไม่เป็นรูปธรรมตามที่นักลงทุนตั้งความหวังไว้ เป็นต้น อาจทำให้มีแรงขายทำกำไรหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาเยอะก่อนหน้านี้ได้เช่นกัน
สำหรับประเด็นคำถามว่า หากดัชนี SET index พักฐานรอบนี้แล้ว จะเป็นการพักฐานเพื่อขึ้นต่อ หรือพักฐานแล้วจบแนวโน้มขาขึ้น คงต้องมาพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทย หรือเรื่อง Valuation ของหุ้น เพิ่มเติม ซึ่งในขณะนี้นั้นแม้ว่าอัตราส่วน PE ของ SET index อยู่ในระดับที่ประมาณ +16 เท่า และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (ผมมักจะใช้อายุ 5 ปี สำหรับการเปรียบเทียบ Earnings yield gap) ที่ 1.78% หรือคิดเป็น Earnings yield gap ที่ 4.3% นั้นเป็นระดับที่ไม่ถูก-ไม่แพง ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวเล็กน้อยที่ 4.5% ทำให้หากสถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นภาวะกระทิงเต็มตัว อาจทำให้ SET index ยังปรับขึ้นได้อีก
ซึ่งผมประเมิน Earnings yield gap ช่วงภาวะกระทิงไว้ที่ 3.9% เท่ากับว่าหาก “ปัจจัยต่างๆ คงที่” ดัชนี SET index มีโอกาสที่จะปรับขึ้นไปทดสอบ 1,850 จุดได้ อย่างไรก็ดี ที่ผมไฮไลต์ประเด็นที่ว่า “ปัจจัยต่างๆ ต้อง คงที่” เนื่องจากยังมีความเสี่ยงที่ประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนปี 2562 นี้จะถูกปรับลดลงได้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
ดังนั้น ผมอยากให้จับตาดูการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน 2Q/62 ที่กำลังจะทยอยรายงานในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้จนถึง 15 สิงหาคมนี้ ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดแนวโน้มผลประกอบการปี 2562 นี้ ว่าจะต่ำกว่า หรือเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ซึ่งหากต่ำกว่าคาดอาจทำให้เกิดการปรับลดประมาณการ และอาจทำให้ Valuation ของ SET index อยู่ในระดับที่ไม่น่าสนใจลงทุนได้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี ผมประเมินว่าตลาดหุ้นไทยจะยังเป็นลักษณะการแกว่งตัว หรือ Sideway และนักลงทุนจะทำการเปลี่ยนตัวเล่นจากหุ้นที่มี Upside จากราคาเหมาะสมจำกัดไปยังหุ้นที่ยัง Laggard มากกว่า เนื่องจากเม็ดเงิน Fund flow ต่างชาติยังมีโอกาสไหลเข้าตลาดทุนไทยต่อเนื่อง
สุโชติ ถิรวรรณรัตน์
KGI