นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยในรายการคลุกวงหุ้นว่า ภาพรวมตลาดหุ้นประจำสัปดาห์นี้ ประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน (เทรดวอร์) ในระยะสั้นจะเป็นปัจจัยลบ เพราะตลาดไม่ได้คาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดขึ้น แต่ในระยะกลางเชื่อว่า ทุกคนจะเล็งเห็นถึงเศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจในสหรัฐฯเอง ที่อาจจะมีความเสี่ยงอยู่ในภาวะขาลงมากขึ้นอีก ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเล็งเห็นถึงปัญหานี้ด้วย จึงเชื่อว่าในเดือนกันยายนนี้ น้ำหนักที่เฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้ง ในการประชุมครั้งต่อไปน่าจะมีสูงมากขึ้น ทำให้เมื่อเข้าใกล้ในช่วงเดือนกันยายน เชื่อว่าตลาดอาจจะเริ่มกลับมาเล่นในความคาดหวังเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยมากขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวดีขึ้นได้อีกครั้ง
นายณัฐชาต กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่น่าติดตามอื่นๆ เป็นปัจจัยในประเทศคือ การประชุมของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่ในเชิงนโยบายน่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ในไส้ในจะต้องมีการดูว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ที่มีอยู่ 7 เสียง จะมีเสียงแตกในรอบนี้หรือไม่ เพราะอาจจะมีบางรายที่มีความเห็นว่า ไทยควรที่จะพิจารณาในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ให้สอดคล้องกับเพื่อนบ้านมากขึ้น โดยท้ายที่สุดแล้วเชื่อว่า ธปท.อาจจะเก็บกระสุนเอาไว้ก่อน เนื่องจากขณะนี้มีมาตรการที่มุ่งเป้าไปยังตลาดพันธบัตรเป็นหลัก อาทิ การลดวงเงินการออกพันธบัตรระยะสั้น ซึ่งมาตรการเหล่านี้สามารถสกัดกั้นการแข็งค่าของเงินบาทได้แล้ว ทำให้แรงกดดัน ธปท.ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมีน้อยลง
“สำหรับกลยุทธ์ที่แนะนำในการลงทุนคือ เนื่องจากคาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลก ในเดือนสิงหาคมนี้ น่าจะอยู่ในระดับต่ำต่อไป เนื่องจากไทยก็มีมาตรการเฉพาะทางในการออกพันธบัตรระยะสั้น ทำให้เป็นการจำกัดพันธบัตรระยะสั้นของไทยไปโดยปริยาย โดยล่าสุดสงครามการค้าร้อนกลับมาระอุอีกรอบ ทำให้พันธบัตรสหรัฐฯปรับลดลง และทำจุดต่ำสุดใหม่อีกครั้ง จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เลือกลงทุน ในหุ้นกลุ่มที่อิงกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระดับต่ำ ซึ่งหากพบว่ามีจังหวะที่ดัชนีย่อตัวลง แนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อสะสมต่อไป”นายณัฐชาตกล่าว
ส่วนหุ้นเด่นจะเป็นตัวไหน ต้องติดตามในรายการคลุกวงหุ้น!
