วิกฤตการณ์ราคาน้ำมัน โดย วีรพงษ์ รามางกูร

ทั่วโลกต่างก็ติดตามความผันผวนของราคาน้ำมันดิบ หลังจากราคาลดต่ำลงกว่า 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล การดิ่งลงของราคาน้ำมันดิบเป็นไปอย่างรวดเร็วตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2558 เป็นต้นมา คาดกันว่าราคาคงจะลดลงไปอีก บางสำนักก็ทำนายว่าจะลงไปถึง 20 เหรียญ ข่าวดังกล่าวสร้างความตระหนกตกใจและทำให้เกิดความผันผวนทั่วกันไปหมด กลายเป็นวิกฤตการณ์น้ำมันขาลง กลับกันกับวิกฤตการณ์น้ำมันขาขึ้นเมื่อ 30 ปีก่อน

วิกฤตการณ์น้ำมันขาลงครั้งนี้ ได้ดึงเอาราคาสินค้าเกษตรเกือบทั้งหมด ทั้งที่เป็นสินค้าประเภทแป้ง ประเภทน้ำตาล ประเภทที่สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิง เช่น ข้าว ข้าวโพด ข้าวสาลี อ้อย น้ำตาล น้ำมันปาล์ม ถั่วเหลือง สินค้าเกษตรตามที่ว่ามาทุกชนิดมีราคาลดลงหมด คำถามขณะนี้ก็คือ สถานการณ์วิกฤตเช่นว่านี้จะดำรงคงอยู่ไปอีกนานเท่าใด จะมีผลกระทบต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเมืองของโลกอย่างไรบ้าง

การเกิดวิกฤตการณ์ราคาน้ำมันที่เห็นอยู่ในขณะนี้ เกิดขึ้นด้วยปัจจัยสองด้าน กล่าวคือ ทางด้านความต้องการใช้น้ำมันและพลังงานหรือทางด้านดีมานด์ (demand) ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน ทางด้านปริมาณการผลิตน้ำมันและพลังงานฟอสซิล หรือซับพลาย (supply) ที่มีการค้นพบพลังงานชนิดใหม่และแหล่งผลิตใหม่

ทางด้านความต้องการใช้พลังงานนั้น ชะลอตัวลงตามการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจ เรื่อยมาตั้งแต่หลังวิกฤตการณ์ หนี้ด้อยคุณภาพในปี 2008 เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและของยุโรปชะลอตัวลง แต่ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจของประเทศจีนขยายตัวในอัตราที่สูงเป็นอัตราเลข 2 หลักติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 15 ปี แล้วจึงลดอัตราการขยายตัวลงมาเรื่อยๆ จนมาอยู่ที่ประมาณ 6.9 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2558 ซึ่งก็ยังเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงที่สุดในโลก

Advertisement

การที่จีนสามารถขยายปริมาณและมูลค่าส่งออกได้ในอัตราสูงเป็นตัวเลข 2 หลัก จีนต้องนำเข้าสินค้าขั้นปฐมหรือวัตถุดิบจำนวนมหาศาล จึงเป็นเหตุให้ราคาสินค้าขั้นปฐมเป็นต้นว่า น้ำมันดิบ แร่ธาตุต่างๆ เช่น เหล็ก ทองแดง อะลูมิเนียม และอื่นๆ พากันขึ้นราคากันขนานใหญ่ ในขณะที่ตลาดสินค้าขั้นปฐมกำลังร้อนแรงก็เกิดการเก็งกำไร เกิดการกักตุนสินค้าเป็นจำนวนมาก ความต้องการเงินดอลลาร์จึงมีปริมาณสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นไปกว่า 160 เหรียญต่อบาร์เรล การที่ราคาน้ำมันดิบมีราคาสูงขึ้นเช่นว่านั้น ก็เกิดการลงทุนในการค้นคิดหาพลังงานทดแทน เช่น พลังงานจากแสงอาทิตย์ พลังงานชีวมวล รวมทั้งการลงทุนหาแหล่งพลังงานอื่นๆ

ในที่สุดสหรัฐอเมริกาก็ประสบความสำเร็จในการเจาะลงไปใต้พิภพลึกลงไปกว่า 10 กม. สามารถนำก๊าซและน้ำมันขึ้นมาบริโภคได้ในราคาถูกกว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเป็นอันมาก จนสามารถใช้ทดแทนการนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลาง วันละประมาณ 10 ถึง 12 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อเวลาผ่านไปปริมาณการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของสหรัฐก็มีปริมาณมากขึ้นพร้อมๆ กับต้นทุนต่อหน่วยก็ลดลง จนเหลือที่จะส่งออกได้

สหรัฐอเมริกานั้นมีทรัพยากรน้ำมันและก๊าซเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว แต่มีนโยบายไม่ผลิตใช้เต็มที่ เพราะความคิดที่ว่าวันหนึ่งน้ำมันต้องหมดไปจากโลก สหรัฐคาดว่าถึงวันนั้นน้ำมันจะมีราคาแพงอย่างมหาศาล จึงมีกฎหมายห้ามส่งน้ำมันดิบออกไปขายในตลาดโลก

Advertisement

บัดนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป จากการเปลี่ยนเทคโนโลยีการขุดเจาะภายใต้พิภพ ทำให้ทัศนคติเปลี่ยนไปว่าก๊าซและน้ำมันมีอยู่อย่างไม่จำกัดและมีราคาถูกลงเรื่อยๆ ปริมาณการผลิตก๊าซและน้ำมันจึงเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจากการขุดขึ้นมาของสหรัฐอเมริกา ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจของจีนซึ่งขยายตัวในอัตราที่สูงเป็นตัวที่ค้ำเศรษฐกิจของโลกเอาไว้ไม่ให้ชะลอตัวตามวัฏจักร ก็เริ่มขยายตัวในอัตราต่ำลงเพราะตลาดสินค้าส่งออกที่สำคัญ อันได้แก่ สหรัฐและยุโรป ชะลอตัวลงตั้งแต่เกิดกรณีวิกฤตการณ์สินเชื่อด้อยคุณภาพตั้งแต่ปี 2008 ความต้องการนำเข้าน้ำมันดิบรวมทั้งแร่ธาตุวัตถุดิบ สินค้าการเกษตร เช่น ยางพาราและอื่นๆ ลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้กักตุนน้ำมันดิบ ยางพารา แร่ธาตุวัตถุดิบขาดทุนกันเป็นจำนวนมาก

ถ้าราคาน้ำมันดิบยังคงดำดิ่งลงมาต่ำกว่า 25 เหรียญต่อบาร์เรล โอกาสที่ราคาน้ำมันจะกลับพุ่งขึ้นก็จะเร็วยิ่งขึ้น เพราะราคาในระดับนี้ผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปคก็คงจะประสบกับการขาดทุนกันหมด ผู้ผลิตหลายรายคงจะทนการขาดทุนต่อไปไม่ได้นาน

ประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกมักจะเป็นประเทศที่ทำอย่างอื่นไม่เป็น เพราะการลงทุนในกิจการอื่นๆ ให้ผลตอบแทนน้อยกว่าการลงทุนในกิจการน้ำมัน รายได้ของรัฐบาลของประเทศผู้ผลิตน้ำมันเหล่านี้ กว่า 70-80 เปอร์เซ็นต์เป็นรายได้จากการให้สัมปทานการขายน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป เมื่อราคาน้ำมันลดลงรายได้จากธุรกิจน้ำมันจึงไม่เพียงพอที่จะชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ที่ตนกู้ยืมจากธนาคารต่างประเทศ ที่นำมาลงทุนพัฒนาประเทศ รายได้จากภาษีอากรก็มักจะมีน้อย ไม่เพียงพอที่จะชดเชยรายได้จากการขายน้ำมัน สถานการณ์ค่อยๆ ดำเนินมาหลายปีแล้ว หลายคนวิตกว่าถ้าสถานการณ์ไม่พลิกกลับโดยเร็วอย่างที่คาดการณ์ไว้ วิกฤตการณ์ทางการเงินหรือวิกฤตการณ์ราคาปิโตรเลียมก็อาจจะเกิดขึ้นได้ กล่าวคือ หนี้เสียของกิจการน้ำมันและพลังงาน อาจจะพาให้สถาบันการเงินล้มลงได้แบบเดียวกับกรณีวิกฤตการณ์หนี้ด้อยคุณภาพที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2008 แต่หลายคนก็คิดว่าคงจะไม่เกิดขึ้น

ภาพที่เคยวาดไว้ว่า อีกไม่เกิน 100 ปี น้ำมันและก๊าซหรือพลังงานฟอสซิลจะหมดไปจากโลก ราคาจะถีบสูงขึ้นไปเรื่อยๆ การลงทุนในการวิจัยและการสร้างพลังงานทดแทนได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล คงจะต้องมีการทบทวนใหม่ การผลิตสินค้าเกษตรพลังงานก็คงจะต้องทบทวน เพราะราคาน้ำมันจะดึงให้ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำลง แต่อีกด้านหนึ่ง ถ้าราคาน้ำมันยังคงต่ำกว่า 50-60 เหรียญต่อบาร์เรล อุตสาหกรรมน้ำมันคงทนต่อการขาดทุนไปเรื่อยๆ ไม่ได้ ปริมาณการผลิตก็จะลดลง ยืดเวลาการใช้พลังงานฟอสซิลให้ยืนยาวต่อไป การเมืองระหว่างประเทศก็คงจะเปลี่ยนไป ในสมัยที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับที่สูง ความสำคัญของตะวันออกกลางในทางการเมืองระหว่างประเทศก็จะมีสูง สันติภาพและความสงบเรียบร้อยในภูมิภาค เส้นทางเดินเรือที่เป็นเส้นทางลำเลียงน้ำมันมีความสำคัญอย่างมากต่อราคาน้ำมัน และเศรษฐกิจการเงินของโลก

สหรัฐอเมริกายอมทุ่มเทงบประมาณทางทหารของตนเพื่อรักษาอิทธิพลของตนไว้ เป็นทั้งแหล่งพลังงานป้อนความต้องการของตนและเป็นแหล่งระบายสินค้าประเภทอาวุธยุทโธปกรณ์ เพราะเป็นกลุ่มประเทศที่มีรายได้จากการขายน้ำมันสูง บัดนี้ความสำคัญของภูมิภาคนี้ลดลง ประชากรมีรายได้ต่ำเพราะรัฐบาลมีรายได้จากการขายน้ำมันลดลง ความวุ่นวายความไม่พอใจรัฐบาลในภูมิภาคนี้ คงจะทวีความรุนแรงมากขึ้น

เมื่อไม่มีมหาอำนาจเข้ามาจัดการด้วยกำลังอาวุธ หรือมีแต่ไม่ยอมรับภาระค่าใช้จ่าย การรบพุ่งต่อสู้กันเองในรัฐอาหรับคงจะมีสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทั้งสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย ที่จะได้ค้าอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับรัฐอาหรับมากยิ่งขึ้น

การเกิดขบวน “รัฐอิสลาม” ก็น่าจะเป็นผลมาจากการที่ราคาน้ำมันลดลงมาเรื่อยๆ ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เพราะอำนาจรัฐอ่อนแอลง กระแส “อาหรับสปริง” เพื่อโค่นล้มรัฐบาลในกลุ่มประเทศอาหรับก็น่าจะหวนกลับมาเป็นประเด็นสำคัญของโลกอีกครั้งหนึ่ง จากความไม่พอใจของประชาชนในภูมิภาคเพราะความร่ำรวยจากน้ำมันในอดีตที่กระจุกตัวอยู่ในหมู่ราชวงศ์ หรือหัวหน้าเผ่าที่มีชื่อเรียกต่างๆ กัน มิได้กระจายลงมาให้ทั่วถึง แต่เมื่อราคาน้ำมันตกต่ำลง ประชาชนข้างล่างจะต้องเป็นผู้รับภาระ ความผันผวนทางการเมืองในภูมิภาคตะวันออกกลางน่าจะเกิดขึ้นอีก เพราะการ “แบ่งการรับภาระย่อมจะยากกว่าการแบ่งผลประโยชน์” ปัญหาการเมืองนอกจากประเทศในกลุ่มอาหรับก็น่าจะเป็นไนจีเรีย เวเนซุเอลา ส่วนในอาเซียนประเทศผู้ส่งออกน้ำมันที่อาจจะมีผลกระทบก็มีอยู่ 2 ประเทศ คือมาเลเซียและบรูไน แต่ก็คงไม่มีปัญหารุนแรงนัก

สำหรับประเทศไทยเราผลกระทบคงจะมีทั้ง 2 ด้าน ด้านแรกก็คือ รายจ่ายจากการนำเข้าพลังงานคงจะลดลง แต่ก็คงกระทบต่อการลงทุนขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย การหาผู้รับสัมปทานคงหายากขึ้น หรือถ้าได้ก็คงจะได้เงื่อนไขไม่ดีเท่าเดิม สัมปทานใหม่คงจะทำยากเพราะการเมืองภายในประเทศที่ไม่สู้จะมีเหตุผลมาประกอบด้วย

ที่จะเห็นชัดโดยตรงก็คือ ราคาสินค้าเกษตร เช่น ยางพาราและธัญพืช เช่น ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง อ้อย และน้ำตาล การปรับตัวสำหรับพืชล้มลุกอาจจะทำได้ง่ายกว่า แต่พืชยืนต้น เช่น ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ปัญหาคงจะหนักและเกิดขึ้นเร็ว ถ้าการตกต่ำของราคายืดเยื้อต่อไปเป็นเวลานาน นโยบายสินค้าเกษตรควรจะเป็นอย่างไร การใช้วิธีชดเชยราคาโดยไม่มีการจำกัดปริมาณการผลิต โดยใช้ภาษีอากรของคนทั้งประเทศ ควรทำเป็นครั้งคราวเมื่อจำเป็น แต่จะทำเป็นการถาวรคงเป็นไปไม่ได้

การพัฒนาอุตสาหกรรมใช้ยางภายในประเทศ โดยหน่วยงานของรัฐก็จะยิ่งสร้างปัญหาในการสูญเสียงบประมาณมากยิ่งขึ้น เพราะเท่ากับเอาภาษีอากรของคนไทยไปช่วยอุดหนุนผู้ใช้สินค้ายางพาราในต่างประเทศ

มีทางเดียวคือลดการผลิตลง ส่งแรงงานกรีดยางกลับบ้าน ถ้าเจ้าของสวนยางรายเล็กกรีดยางเองก็พออยู่ได้ในราคานี้ แต่นายทุนนายหัวที่มีสวนเป็นร้อยเป็นพันไร่ กรีดเองคงไม่ไหว อาจจะต้องปล่อยทิ้งไว้จนกว่าราคายางจะดีดกลับ ซึ่งไม่ทราบว่าจะนานเท่าใด

แล้วจะทำอย่างไร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image