นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน(เออีเอ็ม)ครั้งที่ 51 ระหว่างวันที่ 5-10 กันยายน ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ว่า โดยภาพรวมการประชุมเออีเอ็มมีความคืบหน้าและบรรลุตามเป้าหมายในการที่จะปลดล็อกอุปสรรคและเพิ่มการอำนวยความสะดวกทางการค้า ซึ่งสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ จะนำข้อเสนอต่างๆไปหารือลงในรายละเอียดต่อไปในการประชุมครั้งต่อไประหว่างวันที่ 19-27 กันยายนนี้ ที่เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ขณะที่การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับ และ6 ประเทศคู่เจรจา(อาร์เซ็ป) ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน อินเดีย เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ก็มีความคืบหน้าในการผลักดันความร่วมมือในการเปิดตลาด การลงทุน และลดอุปสรรค ซึ่งยังมีหลายประเทศที่ต้องนำมาหารือเพื่อได้ข้อสรุปอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ประเทศไทย เพื่อมีการลงนามได้ตามเป้าหมายปี 2563
ตอบข้อซักถามที่ว่าบางประเทศคู่ค้า เช่น ญี่ปุ่นยังมองว่าการประชุมอาร์เซ็ปยังไม่มีความคืบหน้า นั้น ขอยืนยันว่าทุกการประชุมได้มีความคืบหน้า แต่หลายเรื่องต้องลงในรายละเอียด โดยยังเชื่อว่าทุกอย่างจะนำไปสู่การลงนามตามเป้าหมาย โดยเฉพาะการผลักดันอาร์เซ็ปให้มีการลงนามให้ได้ในปี 2563 ที่เวียดนามเป็นเจ้าภาพ
ทั้งนี้ ในวันที่ 10 กันยายนซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการประชุมเออีเอ็ม นายจุรินทร์ ได้กล่าวเปิดการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนบวกสาม (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) ว่า อาเซียนยินดีได้ต้อนรับการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับจีน ญี่ปุ่น และ เกาหลี ซึ่งกรอบความร่วมมือระหว่างอาเซียนบวก3 นั้นเป็นความร่วมมือและเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนภูมิภาคเอเชียตะวันออกให้เติบโตในเศรษฐกิจโลก มีความร่วมมือในหลายมิติ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ รวมถึงการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อยของอาเซียน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและกระชับความร่วมมือระหว่างประเทศอาเซียนบวก3 รวมทั้งได้รับการสนับสนุนอย่างใกล้ชิดจากหน่วยงานเอกชนในภูมิภาคอย่างสภาธุรกิจเอเชียตะวันออก
นายจุรินทร์ กล่าวว่า อาเซียนและประเทศบวก3 ส่งต่อประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมต่อเศรษฐกิจ ประชาชน และการค้ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน ความสัมพันธ์อันดีทางด้านการค้าการลงทุน มีมูลค่าถึง 8 แสนกว่าล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น31%ของมูลค่าการค้าอาเซียน ส่วนมูลค่าการลงทุนรวมกัน 37.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 24.5 %ของมูลค่าการลงทุนของอาเซียน
“ ประเด็นหารือทั้งอาเซียนและ 3 ประเทศเห็นพ้องกันกังวลในเรื่องความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลกและภาวะทางการค้าของโลก ดังนั้นต้องมีแนวทางการพัฒนาการค้าและการลงทุนที่มีความเหมาะสมต่อไปในด้านของ ทุกประเทศเห็นตรงกันว่าควรผลักดันการประชุมอาร์เซ็ป 16 ประเทศ ให้จบให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ในการประชุมพฤศจิกายน 2562 เพราะอาร์เซ็ปจะมีประโยชน์ทั้งด้านสินค้าและบริการการลงทุนและจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการค้าการลงทุนให้กับนักธุรกิจทั้ง 16 ประเทศเพราะจะทำให้มีกฎระเบียบอย่างเดียวกันแล้วส่งผลต่อเอสเอ็มอี ไมโครเอสเอ็มอี ให้สามารถเป็นกลไกในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้ด้วยและจะต้องมีการเดินหน้าเศรษฐกิจดิจิตอล-อีคอมเมิร์ซ รวมทั้งจะต้องยืนยันหลักการค้าเสรีในการสนับสนุนกฎเกณฑ์ของดับบลิวทีโอ WTO และเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานทั้งวัตถุดิบปัจจัยการผลิต การแปรรูป การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วย
ทั้งนี้ การประชุม เป็นผลสำเร็จร่วมกันของทุกประเทศโดยเฉพาะประเทศไทยและมั่นใจว่าถ้าการเจรจาประสบผลสำเร็จประเทศไทยก็จะเป็นหนึ่งใน 16 ประเทศที่จะได้รับประโยชน์เพราะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในภาพรวมและลงลึกไปถึงเอสเอ็มอีและไมโครเอสเอ็มอีและจะช่วยภาคเอกชนสามารถจะส่งออกสินค้าไปในตลาดที่มีผู้บริโภคมากถึง 3,500 ล้านคนในภูมิภาค เป็นครึ่งหนึ่งของประชากรโลกและจะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนไทยที่จะไปลงทุนในอีก 15 ประเทศด้วย
สำหรับการหารือรายประเทศ ก็มีความคืบหน้าเห็นพ้องที่จะขยายการค้า การลงทุน รวมถึงการท่องเที่ยวระหว่างกันให้มากขึ้น ทั้งอินเดีย ที่ตนจะนำคณะไปเยือนปลายเดือนกันยายนนี้ และรัสเซียจะนำคณะมาเยือนไทยในเดือนพฤศจิกายน