นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยในงานการประชุมขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน “ประชารัฐสร้างไทย” ที่อิมแพค เมืองทองธานี ว่า กระทรวงฯ จะใช้พลังงานเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก จากความต้องการพลังงานของชุมชนจำนวนมาก จึงต้องพลิกฟื้นให้ประชาชนมีโอกาสเป็นผู้ผลิตโรงไฟฟ้าชุมชน โดยใช้วัตถุดิบในชุมชนมาใช้ผลิต เพื่อแปลงวัตถุดิบมาใช้เป็นสิ่งมีคุณค่า เพื่อใช้เป็นพลังงานชุมชนสำหรับการขนส่ง เช่น น้ำมันปาล์มคุณภาพ เป็นต้น โดยได้เตรียมปรับน้ำมันบี 7 เพิ่มเป็นบี 10 เริ่ม 1 ตุลาคมนี้ และจะเริ่มใช้ทั้งประเทศในเดือนมกราคม 2563 ซึ่งคาดว่าจะดูดซับปาล์มออกจากระบบได้กว่า 4 แสนตัน
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ยังได้ขอความร่วมจากสถานีบริการน้ำมัน ปตท. และสถานีบริการน้ำมันบางจาก มาเป็นจุดกระจายสินค้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการไทยเด็ด ที่มีการขยายสาขาไปกว่า 100 สาขา และได้ตั้งเป้าขยายสาขาเป็น 1,000 สาขา ต่อไป ส่วนการผลิตปุ๋ยสั่งตัดได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้หาแนวทางในการผลิตโดยเริ่มจากพื้นที่น้ำท่วมรองรับการทำเกษตรรอบใหม่หลังน้ำลด โดยได้ดึงปตท.และบางจาก เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่การผลิตจนถึงขั้นตอนของการจำหน่าย เพื่อลดต้นทุนการซื้อปุ๋ยให้กับประชาชน อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ จะมีการสร้างกลไกการทำงานและเน้นทำงานแบบบูรณาการมากขึ้น
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องราคาน้ำมันที่มีการปรับขึ้น 30 สตางค์ต่อลิตรนั้น เป็นเพียงการปรับตัวตามกลไกของตลาดเท่านั้น ส่วนนโยบายตรึงราคาน้ำมันเป็นการควบคุมราคาขายปลีกในประเทศไม่ให้ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน ทั้งนี้ ยืนยันว่าราคาน้ำมันยังอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้
เกาะกระแสเศรษฐกิจใกล้ตัว กับมติชน คลิ๊ก!
