“ทรีนีตี้” ชี้หุ้นไทยผันผวนต่อ ให้กรอบเคลื่อนไหวที่ 1,600-1,700 จุด (ชมคลิป)

 

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยในรายการคลุกวงหุ้นว่า ประเมินในช่วงที่เหลือของเดือนกันยายนนี้ดัชนีหุ้นไทยจากแกว่งตัวผันผวนออกด้านข้างในกรอบ 1,600-1,700 จุด ซึ่งขณะนี้ดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในระดับกึ่งกลางของกรอบการเคลื่อนไหวที่ให้ไว้ ทำให้หากดัชนียังยืนอยู่ในระดับดังกล่าว นักลงทุนสามารถชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจนก่อนได้ โดยการเข้าซื้อใหม่นั้นอยากให้รอเข้าซื้อในระดับ 1,600 จุดต้นๆ เพราะคาดว่าน่าจะมีการปรับลดระดับลงที่จำกัดมากกว่า สำหรับ กลยุทธ์ที่แนะนำในการลงทุนคือ การเลือกลงทุนในหุ้นเชิงรับ หรือ หุ้นที่ทนทานต่อสภาวะตลาด มีอัตราผลตอบแทนสม่ำเสมอ มั่นคง และหุ้นรายตัว โดยแนะนำเป็นหุ้นในกลุ่มไฟแนนซ์ สาธารณูปโภค และกลุ่มสื่อสารเป็นหลัก

นายณัฐชาต กล่าวว่า ในส่วนของปัจจัยที่มีส่วนกดดันตลาดได้แก่การเกิดเหตุการณ์โจมตีครั้งนี้มันของซาอุดิอาระเบีย ทำให้เริ่มเห็นความเสี่ยงของรัฐภูมิศาสตร์ในโลกที่สูงมากขึ้น ทำให้นักลงทุนทั่วโลกกลับมากังวลกับภาวะเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง และเริ่มเห็นปรากฏการณ์การโยกย้ายเม็ดเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยง นำเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ ทองคำ สกุลเงินญี่ปุ่น และพันธบัตรรัฐบาล มากขึ้น จึงอาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้จำกัดปริมาณการลงทุนในตลาดหุ้นได้ รวมถึงปัจจัยกดดันหลักเฉพาะภายในประเทศไทยคือ ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยที่เริ่มลดระดับลง โดยจะเห็นว่านักวิเคราะห์ยังออกมาปรับลดประมาณการของ บริษัทจดทะเบียนไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พอกำไรต่อหุ้น (อีพีเอส) ลดลง การประเมินมูลค่าของหุ้นก็จะสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ ซึ่งหากประเมินตามค่าเทคนิคแล้วจะเห็นว่า ระดับดัชนีหุ้นไทยที่เหมาะสมจะอยู่ในระดับ 1,650 จุดเท่านั้น หรืออาจะจไม่มีการปรับขึ้นจากระดับดัชนีปัจจุบันนี้

“สำหรับปัจจัยบวกที่อาจจะเกิดขึ้น เป็นเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน (เทรดวอร์) คือ การทำข้อตกลงการค้าฉบับชั่วคราวระหว่างสหรัฐฯและจีน ซึ่งหากเป็นไปตามกำหนดเดิม ผู้แทนจากทั้งสองประเทศเตรียมที่จะมีการเจรจากันอีกครั้ง ในช่วง 1-2 สัปดาห์ข้างหน้านี้ โดยหากมีความคืบหน้าที่ดีขึ้นอาจจะนำมาสู่การประกาศข้อตกลงชั่วคราวได้ เช่น เลื่อนการเพิ่มอัตราภาษีขึ้น 30% ในสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯออกไปอีก จากกำหนดเดิมจะเริ่มเก็บในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ และการยกเลิกการเพิ่มอัตราภาษี 30% นี้ รวมถึงการเลื่อนหรือยกเลิกการเก็บภาษี 10% ในสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 1.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่จะบังคับในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ ซึ่งอาจนำมาสู่การเลื่อนหรือยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าของจีนในอัตรา 5-10% ที่จะมีขึ้นในวันเดียวกัน โดยหากเกิดขึ้นจริงมองว่าจะเป็นผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งถึงแม้อัตราความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นมีน้อย แต่หากสามารถเกิดขึ้นจริงก็จะเป็นผลเชิงบวกที่สร้างความแปลกใจให้กับตลาด และสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับตลาดสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น”นายณัฐชาตกล่าว

Advertisement

ส่วนหุ้นเด่นจะเป็นตัวไหน ต้องติดตามในรายการคลุกวงหุ้น!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image