ซีไอเอ็มบีไทยคาดธปท.ลดดอกเบี้ยลงอีกหวังหนุนเศรษฐกิจ

อมรเทพ จาวะลา

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า สำนักวิจัยฯ คาดการณ์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ของธนาคารแห่งประเทสไทย(ธปท.) จะประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งที่ 7/2562 ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 จากปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.5% ลด 0.25% เหลือ 1.25% เนื่องจากเห็นแนวโน้มตัวเลขและเหตุการณ์ในอนาคตส่งสัญญาณที่อาจนำไปสู่การตัดสินใจลดดอกเบี้ย โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ กนง. อาจปรับลดดอกเบี้ย คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และราคาสินค้า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวต่ำกว่าศักยภาพ ธปท.เองได้ออกมาปรับประมาณการลงต่อเนื่อง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อต่ำ เดือนสิงหาคมเงินเฟ้อหลุดกรอบล่างที่ 1% และมีแนวโน้มต่ำต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมันและส่วนหนึ่งเกิดจากความเสี่ยงที่มาจากอุปสงค์อ่อนแอแม้การประชุมเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กนง.ไม่ได้มีสัญญาณการลดดอกเบี้ยหรือเสียงแตก แต่สุดท้ายกนง.ปรับลดดอกเบี้ยลง ซึ่งน่าจะมาจากแนวโน้มตัวเลขและเหตุการณ์ในอนาคตที่มีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ

“เห็นใจผู้กำหนดนโยบายที่กำลังยืนอยู่บนทางแยกว่าจะเลือกเดินทางไหนดี เพราะเมื่อมองไปข้างหน้าล้วนมีความเสี่ยงให้เศรษฐกิจโตช้าลง ไม่เพียงสงครามการค้าที่ยังคงลากยาวและอาจรุนแรงขึ้น ขณะที่อุปสงค์ในประเทศมีท่าทีชะลอลง โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่มาช้า และไทยมีความเสี่ยงที่จะตกขบวนรถไฟของการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาอาเซียน เพราะบริษัทข้ามชาติเหล่านั้นอาจเลือกเวียดนามแทน” นายอมรเทพ กล่าว

นายอมรเทพ กล่าวว่า เมื่อสงครามการค้าที่ลากยาวส่งผลกระทบการส่งออกให้หดตัว ผู้ผลิตลดกำลังการผลิต ชั่วโมงการทำงานถูกตัด และรอบนี้ไม่เพียงภาคบริการและอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอ เพราะภาคเกษตรเองก็ไม่แข็งแรง จากภัยธรรมชาติทั้งฝนแล้งและน้ำท่วมในหลายจังหวัดได้มีผลต่อปริมาณการผลิตและรายได้ภาคเกษตร แม้เงินช่วยเหลือจากภาครัฐจะมีแต่ก็ทำได้เพียงประคองกำลังซื้อเขาไว้ เราอาจรอผลมาตรการกระตุ้นการบริโภคแต่อาจมีไม่มากเพราะงบประมาณภาครัฐเองก็มีจำกัด อีกทั้งงบประมาณปี 2563 ที่ปกติจะเริ่มวันนี้ก็มีความจำเป็นต้องรอให้ผ่านสภาฯ ในช่วงต้นปี 2563 ขณะที่ปัจจัยสำคัญคือบาทแข็งค่าแรงยังคงกดดันและกระทบผู้ส่งออก แต่การที่บาทแข็งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เราเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูง เป็นที่สนใจของนักลงทุนที่มาพักเงินในช่วงความผันผวนมีมาก ซึ่งการลดดอกเบี้ยลงน่าจะลดแรงจูงใจนักลงทุนต่างชาติได้บ้าง

นายอมรเทพ กล่าวอีกว่า ด้านเสถียรภาพ ที่ผ่านมาทางธปท. ได้มีมาตรการดูแลคุณภาพสินเชื่อ และต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะเกณฑ์สินเชื่อบ้าน และน่าจะลดพฤติกรรมเก็งกำไรได้มาก แต่ต้องเข้าใจว่าแม้ลดดอกเบี้ยไป สินเชื่อก็อาจไม่ได้ขยายตัวแรง เพราะธนาคารพาณิชย์ยังคงกังวลต่อคุณภาพสินเชื่อและมีข้อกำกับมากมาย แต่ก็น่าจะคลายความกังวล ลดต้นทุนทางการเงิน และสร้างความเชื่อมั่นได้บ้าง หลังจากกนง. ลดดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ 1.25% แล้ว อย่าเชื่อว่าดอกเบี้ยต่ำสุดได้เพียง 1.25% ภาพจำว่าดอกเบี้ยต่ำสุดคือ 1.25% มาจากในช่วงวิกฤติการเงินโลก กนง. ลดดอกเบี้ยจากระดับ 3.75% ปลายปี 2551 ลงสู่ระดับ 1.25% ในเดือนเมษายนปีถัดมา หลังจากนั้น ในช่วงไตรมาสที่สองปี 2552 เศรษฐกิจไทยหดตัวถึง 3.1% แต่ถึงขั้นนั้น กนง. ก็ไม่ได้ลดดอกเบี้ยลงอีก ยังคงที่ 1.25% ส่วนหนึ่งอาจเพราะภาวะเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัวได้เร็ว ก็อาจสนับสนุนได้ว่าดอกเบี้ยต่ำเพียงพอในการประคองเศรษฐกิจในขณะนั้น อย่างไรก็ดี เราไม่เชื่อว่าดอกเบี้ยไทยจะลงไปต่ำกว่า 1.25% ไม่ได้ แม้วันนี้ไม่ใช่ภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ แต่อยู่ในจุดที่อาจไม่จำเป็นต้องให้ดอกเบี้ยอยู่ในระดับเช่นในอดีตคือ 1.25%

Advertisement

“ผมมองว่าในภาวะที่ตลาดการเงินโลกมีปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบมาก โดยเฉพาะหลังธนาคารกลางสำคัญได้ใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณและขยายงบดุลของธนาคารกลางมาก่อนหน้า เราจึงไม่อาจมองภาพนโยบายการเงินวันนี้เทียบอดีตได้ แต่ผมยังหวังว่าเรายังไม่ต้องลดดอกเบี้ยลงอีก และอาจใช้มาตรการอื่น โดยเฉพาะมาตรการทางการคลังแทน แต่ภาวะความเสี่ยงดอกเบี้ยขาลงเช่นนี้ ผู้ฝากเงินน่าจะล็อกเงินฝากระยะยาว ผู้กู้ใช้ดอกเบี้ยลอยตัว ขณะที่ระวังการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงไว้บ้างตามภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่มีผลต่อกำไรบริษัท แต่เมื่อสภาพคล่องมีสูงขึ้น ก็อาจทำให้สินทรัพย์เสี่ยงมีความน่าสนใจได้อีกครั้ง” นายอมรเทพ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image