“ไอเอเอ” หั่นเป้าดัชนีหุ้นไทยปี’62 เหลือ 1,677 จุด หลังกำไรบจ.วูบฉุดแรง

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (ไอเอเอ) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการปรับเป้าหมาย ดัชนีในสิ้นปี 2562 คาดว่ามีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,677 จุด ซึ่งลดลงจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 1,755 จุด โดยมีสาเหตุจากปัจจัยเสี่ยงในต่างประเทศเป็นหลัก อาทิ สงครามทางการค้า ความไม่ชัดเจนของเบร็กซิท ส่วนปัจจัยเฉพาะในประเทศ เป็นเรื่องของกำไรบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) เติบโตลดลงเหลือ 3.29% จากเดิมโต 7% และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาล ที่ล่าช้ากว่ากำหนด ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ที่จะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย นอกจากนี้ ยังคาดว่าจุดสูงสุดของดัชนีตลาดหุ้น ในไตรมาส 4 จะเคลื่อนไหวได้ถึง 1,707 จุด ส่วนจุดต่ำสุดคาดว่าจะอยู่ที่ 1,590 จุด รวมถึงคาดว่าต้นปี 2563 ดัชนีมีโอกาสไปถึง 1,750 จุดได้

“มาตรการชิม ช้อป ใช้ ที่ภาครัฐออกมาเพื่อกระตุ้นเศรรษฐกิจในประเทศนั้น มองว่าช่วยสร้างการหมุนเวียนของเม็ดเงินในประเทศมากขึ้นได้ แต่ประโยชน์ส่วนใหญ่จะตกอยู่กับประชาชน ที่ได้รับสิทธิ์ในการใช้เงินจำนวน 1000 บาท แต่บริษัทจดทะเบียนไทยดูจะยังไม่ได้รับประโยชน์ หรือได้อานิสงค์ในเชิงบวกกับมาตรการนี้มากนัก โดยในส่วนของทิศทางค่าเงินบาท คาดว่าจะเคลื่อนไหวที่ระดับ 30.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เนื่องจากดุลการค้าของไทยยังคงเกินดุลอยู่ และคาดว่าฟันด์โฟลว์จะไหลเข้าไทยเมื่อตัวเลขคาดการณ์ของกำไรบจ.มีความชัดเจน และเป็นไปในทิศทางบวกมากขึ้น โดยเชื่อว่าจะบวกลบไม่เกิน 20 สต.ต่อเหรียญสหรัฐ หากไม่มีตัวแปรใหญ่ๆ เกิดขึ้น เช่น เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้อย่างคาดไม่ถึง หรือมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง จากบรรดาธนาคารกลางหลักมากกว่าที่ตลาดประเมินไว้”นายสมบัติกล่าว

นายสมบัติ กล่าวว่า สำหรับผลการสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองด้านการลงทุน และดัชนีราคาหุ้นไทย จากผู้ตอบแบบสอบถามทั้ง 26 บริษัท มีสัดส่วน 36% มองว่าแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยในไตรมาส 4 จะมีทิศทางแกว่งตัวในกรอบแคบ (ไซด์เวย์) หรือไม่เปลี่ยนแปลงมาจากไตรมาส 3 สัดส่วน 32% มองว่ามีทิศทางบวก และสัดส่วน 32% มองว่าตลาดทิศทางเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ นอกจากนี้ ยังคาดว่าตลาดหุ้นไทย มีปัจจัยบวก ได้แก่ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา (เฟด) โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจ 80% มีมุมมองเป็นบวกอย่างชัดเจน รองลงมากว่า 57.69 % คาดว่าจะมีฟันด์โฟลว์จากต่างชาติไหลเข้าสู่ตลาดทุนไทยมากขึ้น

นายสมบัติ กล่าวว่า สำหรับปัจจัยด้านลบต่อตลาดทุน มาจากปัจยัยด้านสงครามทางการค้าเป็นหลัก รองลงมาเป็นการเมืองต่างประเทศ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย ส่วนการเมืองในประเทศ คาดว่าไม่ได้มีผลต่อทิศทางราคาหุ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้มากนัก โดยมีผู้ตอบเพียง 15.38% ที่มองว่าจะเป็นผลบวก และผู้ตอบ 19.23 % มองว่าเป็นลบ นอกจากนี้ คาดว่าดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะปรับลดลง 0.25% ในปลายปีนี้ ขณะที่กำไรสุทธิต่อหุ้น (อีพีเอส) ของตลาด เฉลี่ยอยู่ที่ 99.68 บาท ขณะที่หุ้นเด่นแนะนำเป็นหุ้น ที่ได้รับปัจจัยสนับสนุน จากการบริโภคที่คราดว่าจะฟื้นตัวขึ้น จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ ค้าปลีก นิคมอุตสาหกรรม

Advertisement

เกาะกระแสเศรษฐกิจ กับ Line@มติชนเศรษฐกิจใกล้ตัว

เพิ่มเพื่อน

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image