จากกรณีมีคลิปแชร์ว่อนในโลกออนไลน์เหตุการณ์ที่โชเฟอร์แท็กซี่รายหนึ่ง ที่ขับรถเข้าไปส่งผู้โดยสารที่ชั้น 4 อาคารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และได้เกิดปะทะคารมกับเจ้าหน้าที่การจัดการจราจรของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ( ASM ) ซึ่งในระหว่างที่มีการปะทะคารมโชเฟอร์แท็กซี่คันดังกล่าว ได้ใช้โทรศัพท์บันทึกภาพเป็นคลิกวีดีโอเอาไว้ พร้อมพยายามโวยวายใส่เจ้าหน้าที่หาว่ากลั่นแกล้งตนเองทั้ง ๆ ที่ตนเพิ่งจอดรถเพื่อส่งผู้โดยสาร แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่มาจับกุมและล็อกล้อรถเอาไว้ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา
ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ต.ค.นายกิตติพงษ์ กิตติขจร รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เปิดเผยว่าจากการตรวจภาพจากกล้องวงจรปิด พบว่าเหตุที่เกิดขึ้นไม่ตรงกับคำกล่าวอ้างของคนขับแท็กซี่ที่อยู่ในคลิป และจากการตรวจสอบประวัติย้อนหลังพบว่าคนขับแท็กซี่รายนี้ ได้กระทำผิดในกรณีเดียวกันที่ทางเจ้าหน้าที่ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้บันทึกเอาไว้ถึง 77 ครั้ง ถูกปรับในข้อหาเดียวกันมาโดยตลอด ซึ่งไม่ตรงกับคำกล่าวอ้างที่ได้ยินอยู่ในคลิปแต่อย่างใด และจากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดในจุดที่เกิดเหตุและบริเวณใกล้เคียงได้พบว่า แท็กซี่คันดังกล่าวได้ขับขึ้นมาบนชั้นชานชาลาชั้น 4 โดยที่ไม่มีผู้โดยสารนั่งมาแต่อย่างใด และค่อย ๆ ขยับรถอย่างช้ามาตั้งแต่ประตู 2 และมาจอดที่ประตู 4 มองหาผู้โดยสารที่เป็นชาวต่างชาติอยู่พักใหญ่จนกระทั่งมีชาวต่างชาติ กำลังเดินมาจากด้านในประตู 4 ออกมา คนขับแท็กซี่ จึงได้ลงจากรถมาเปิดกระโปรงท้ายเเล้วกวักมือเรียกชาวต่างชาติให้ใช้บริการของตนเอง ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเจ้าหน้าที่ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้จับตามองมาโดยตลอด ก่อนที่จะเข้าดำเนินการ ทำให้คนขับแท็กซี่คันดังกล่าวส่งเสียงโวยวายใส่เจ้าหน้าที่หาว่ากลั่นแกล้งตนเอง
นายกิตติพงษ์กล่าวว่า ตามระเบียบของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นั้นที่ชานชาลาชั้น 4 เป็นสถานที่อนุญาตให้เข้ามาส่งผู้โดยสารเท่านั้น หากจะรับผู้โดยสารออกจากสนามบินต้องลงไปต่อคิวที่ชั้น 2 ซึ่งจะมีการบันทึกประวัติของแท็กซี่แต่ละคันที่รับผู้โดยสารออกไป เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการ หากเกิดเหตุร้ายหรือลืมทรัพย์สินไว้ในแท็กซี่ ทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิยังสามารถตรวจสอบได้ว่าแท็กซี่คันไหนคนขับชื่ออะไร และคนขับแท็กซี่คันดังกล่าวครั้งนี้ไม่ใช้เป็นครั้งแรกที่กระทำความผิดฝ่าฝืนข้อกำหนด แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 78 ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ส่งดำเนินการเปรียบเทียบปรับ 200 บาท ในข้อหาเดียวกัน คือ กระทำการใด ๆ อันเป็นการก่อความเดือดร้อนรำคาญ โดยพฤติการณ์ จอดรถชักชวนผู้โดยสารชาวต่างชาติให้ใช้บริการของตน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่าอากาศยานไทย
