คิดเห็นแชร์ : กำไร 3Q62 บริษัทจดทะเบียนไทยยังอ่อนแอ รอลุ้นฟื้นปีหน้า

สวัสดีครับ คอลัมน์ “คิด เห็น แชร์” วันนี้ ผมจะขอรีวิวผลการดำเนินงาน 3Q62 ของบริษัทจดทะเบียนไทยที่ทยอยรายงานมาครบถ้วนแล้วพบว่าในภาพรวมกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี SET index ลดลง -18% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว (YoY) แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย +0.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และกำไรรวม 9 เดือนแรกของปี 2562 (9M62) ลดลง -15.1% YoY ซึ่งเป็นภาพสะท้อนการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกที่ชัดเจน

เมื่อแยกการพิจารณาเป็นรายกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า มีเพียงบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังมีกำไรเติบโตได้ดีซึ่งเป็นปัจจัยเฉพาะตัว อาทิ

1.กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กำไรรวมโต +45% YoY และ +58% QoQ (คาดเป็นผลจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับปศุสัตว์ (เนื้อหมูและไก่) ที่ปรับขึ้นแรงจากการเกิดโรคระบาดในฟาร์มหมูที่จีนและประเทศอื่นๆ ในเอเชีย รวมทั้งการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศของผู้ประกอบการเครื่องดื่ม ทำให้ผลการดำเนินงานเติบโตบนฐานลูกค้าใหม่ๆ)

2.กลุ่มสถาบันการเงิน กำไรรวมเติบโต +3.6% YoY และ +4.8% QoQ (โดยกลุ่มที่กำไรโตเด่นส่วนใหญ่จะเป็นสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ ที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง)

Advertisement

3.กลุ่มโรงพยาบาล กำไรรวมโต +9% YoY และ +69.8% QoQ (เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ การเติบโตของผลการดำเนินงานไม่อ่อนไหวตามภาวะเศรษฐกิจมากนัก)

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมฯอื่นๆ ล้วนแล้วแต่มีผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลงแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มอุตสาหกรรมฯ (กำไรรวมลดลง -74% YoY, -2.1% QoQ), กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (กำไรรวมลดลง -18% YoY, -2.6% QoQ), กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (กำไรรวมลดลง -55.5% YoY, -24.7% QoQ), กลุ่มพัฒนาอสังหาฯ (กำไรรวมลดลง -5.2% YoY, แต่เติบโต +19.8% QoQ คาดเป็นผลจากการเร่งโอนบ้าน เพื่อล้างสต๊อก)

ขณะที่กลุ่มพลังงาน (กำไรรวมลดลง -39% YoY, -23.9% QoQ), กลุ่มค้าปลีก (กำไรรวมลดลง -6.3% YoY, แต่เติบโต +3.9 QoQ), กลุ่มสื่อ (กำไรรวมลดลง -22.9% YoY, -55.6% QoQ), กลุ่มท่องเที่ยว (กำไรรวม ลดลง -97.6% YoY, แต่เติบโต +131.8% QoQ), กลุ่มขนส่ง (กำไรรวมลดลง -153.5% YoY, แต่เติบโต +41.5% QoQ), กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (กำไรรวมลดลง -53.5% YoY, -12.5% QoQ), และสุดท้ายกลุ่มสื่อสาร (กำไรรวมลดลง -64.8% YoY, แต่เติบโต +10% QoQ)

Advertisement

อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานปีนี้ของหุ้นในกลุ่มดัชนี MAI (ส่วนใหญ่เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีขนาดสินทรัพย์เล็ก) กลับมีผลการดำเนินงานโดยรวมที่เซอร์ไพรส์ โดยมีกำไรรวม 3Q62 เติบโต +165% YoY และ +118.7% QoQ อย่างไรก็ดีหากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่ามีบริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่งในดัชนี MAI    มีการบันทึกกำไรพิเศษในไตรมาสนี้ หากตัดรายการดังกล่าวออก กำไรรวมของดัชนี MAI จะลดลงราว -6.6% YoY, -22.3% QoQ

หากพิจารณาผลการดำเนินงาน 3Q62 ที่ผมสรุปข้างต้น ไม่แปลกใจเลยที่ดัชนี SET index จะไม่ปรับขึ้นในปีที่ผ่านมา แม้ว่าธนาคารกลางหลายประเทศรวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทยเองจะทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก็ตาม แต่ทำได้เพียงทำให้สภาพคล่องในตลาดทุนเพิ่มขึ้น และยกระดับ Valuation หรือ PE ratio ของตลาดฯขึ้น ให้สูงกว่าในอดีต เพราะเมื่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลง PE ratio ที่สูงขึ้น เมื่อสุทธิผลของทั้ง 2 ด้านแล้ว ดัชนี SET index จึงไม่ไปไหน (สมการหาราคาเหมาะสมของหุ้นแบบง่ายคือ กำไรของบริษัทจดทะเบียน คูณด้วย PE ratio นั่นเอง)

หากมองข้ามผลการดำเนินงานที่อ่อนแอในปีนี้ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากปัจจัยต่างประเทศ ก็คือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศต่างๆ โดยเฉพาะจีน สำหรับปี 2563 สมมุติฐานหลักของฝ่ายวิจัยฯ บล.เคจีไอ คือ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนน่าจะได้ข้อสรุปและเริ่มลงนามได้ภายในปลายปีนี้ ซึ่งจะลดปัจจัยลบต่อภาวะเศรษฐกิจปีหน้าได้

และหุ้นที่เราคาดว่าผลการดำเนินงานจะผ่านจุดต่ำสุดในปี 2562 และเริ่มฟื้นตัวได้ในปี 2563 ได้แก่ หุ้นที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก เป็นหลัก อาทิ หุ้นกลุ่มพลังงาน (โดยเฉพาะโรงกลั่น ESSO, SPRC, TOP, IRPC), กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA, HANA) และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (KBANK, SCB, BBL, KTB ที่ Valuation ลงมาต่ำมาก)

อย่างไรก็ดี หากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนไม่ประสบผลสำเร็จตามที่คาด แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนปี 2563 คาดว่าจะยังถูกกดดันจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกอยู่เช่นเดิม และหุ้นที่จะยังคงเป็นที่พักเงินของนักลงทุนก็จะเป็นกลุ่มที่ปันผลสูง หรือหุ้นปลอดภัยและผลการดำเนินงานไม่อ่อนไหวตามภาวะเศรษฐกิจ อาทิ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, INTUCH), กลุ่มโรงไฟฟ้า เป็นต้น ดังเช่นในปี 2562 ที่ผ่านมา

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image