เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดเช้านี้อ่อนค่าลงแตะระดับ 30.35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อนที่ระดับ 30.33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยในช่วงท้ายสัปดาห์และวันหยุดที่ผ่านมามีเรื่องที่น่าสนใจในตลาดการเงิน ได้แก่ ประเด็นแรก คือ การจ้างงานของสหรัฐที่ขยายตัวดีมากโดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร(U.S. non-farm payrolls) ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 2.66 แสนตำแหน่งส่งผลให้หุ้น S&P500 ของสหรัฐปรับตัวขึ้น 0.9% และบอนด์ยีลด์อายุ10 ปีแตะระดับ1.84% (+3bps)
นายจิติพล กล่าวว่า ส่วนประเด็นที่สอง คือ การที่ซาอุดิอาระเบียทำเซอร์ไพรซ์ด้วยการตั้งเป้าจะลดกำลังการผลิตเพิ่มเติม400,000 บาร์เรลต่อวัน ในการประชุมOPEC+ และโดยรวมทั้งกลุ่มส่งสัญญาณลดกำลังการผลิตเพิ่มเติม 500,000 บาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้การลดกำลังการผลิตรวมของกลุ่มเป็น 2.1ล้านบาร์เรลต่อวันหนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น1.3% ในช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา และเรื่องสุดท้าย คือ ภาพเศรษฐกิจฝั่งเอเชียที่ยังชะลอตัวจากสงครามการค้าล่าสุดตัวเลขการส่งออกของจีนชะลอตัวลง1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและการส่งออกไปสหรัฐลดลง 23% ในเดือนพฤศจิกายน ขณะเดียวกันก็มีข่าวว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐยังไม่พอใจที่จะทำข้อตกลงการค้ากับจีนจึงต้องจับตาดูว่าตลาดจะรับข่าวเหล่านี้อย่างไรในวันนี้
นายจิติพล กล่าวว่า ด้านเงินบาทช่วงนี้มีความเคลื่อนไหวที่ผันผวนโดยมักอ่อนค่าในช่วงวันหยุดแต่เมื่อตลาดกลับมาเปิดทำการก็จะแข็งค่าลงจากแรงกดดันของผู้ส่งออก ในระยะสั้นเชื่อว่าน่าจะเห็นเงินบาทที่แกว่งตัวแคบลงได้แต่เนื่องจากวันทำการถัดไปก็เป็นวันหยุดจึงมีโอกาสกลับไปอ่อนค่าได้อยู่ ทั้งนี้ช่วงปลายปีต้องจับตาสองเรื่องคือทิศทางของค่าเงินเยนที่เดือนธันวาคมแข็งค่าลงมาเร็วและราคาทองคำที่ย่อตัวลงเนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวดีซึ่งทั้งสองปัจจัยถือว่าเป็นบวกสลับกับลบสำหรับค่าเงินบาทจึงต้องระวังว่าถ้าเยนกลับมาอ่อนค่าหรือราคาทองพุ่งสูงขึ้นก็อาจส่งผลให้เงินบาทผันผวนตามได้คาดกรอบเงินบาทวันนี้30.30-30.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐและกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้30.00- 30.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
