คิดเห็นแชร์ : ส่อง 5 เทรนด์ เปลี่ยนทศวรรษ 2020s

ตามกำหนดการ บทความนี้จะเป็นบทความสุดท้ายของผมในทศวรรษ 2010 ซึ่งคงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเป็นช่วงสิบปีที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม “เร็ว” ที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก

หลายเทรนด์กลายเป็น “โอกาส” สำหรับกลุ่มที่ปรับตัวทัน และเลี่ยงไม่ได้ที่จะกลายเป็น “ความเสี่ยง” สำหรับหลายธุรกิจที่ไม่เปลี่ยนแปลง

สิ่งที่สำคัญที่สุดในช่วงจบทศวรรษนี้ ดูจะไม่ใช่แค่การเข้าใจเทรนด์ปัจจุบัน แต่ต้องรู้ให้ทันว่าอะไรคือแนวโน้มในอีก 10 ปีข้างหน้า

ในเดือนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเข้าฟังสัมมนาหัวข้อ “What on Earth Will Our Earth Be Like in 2030?” โดย ดร.ไมเคิล พาวเวอร์ (Michael Power) นักกลยุทธ์การลงทุนวัยเก๋าจาก บลจ.จากแอฟริกาใต้อย่าง Investec ที่บริหารสินทรัพย์ทั่วโลกขนาด 1.5 แสนล้านดอลลาร์

Advertisement

ดร.พาวเวอร์และทีมงานคาดเดาแนวโน้มของโลก “ห้าเรื่อง” ที่กำลังจะเกิดขึ้น และจะเปลี่ยนโลกไปตลอดกาลในอีกทศวรรษข้างหน้า แน่นอนว่าผมก็ไม่พลาดที่จะนำมาแชร์ต่อ เพื่อให้เรารู้และเตรียมรับมือกับทศวรรษใหม่ที่จะมาถึงได้อย่างมั่นใจ

เทรนด์แรก เป็นสิ่งที่หลายคนคงเดาได้ว่าคือ เทคโนโลยี ซึ่ง Investec เชื่อว่าทศวรรษหน้าจะเป็น Technological Singularity

เพราะภายในช่วง 10 ปีข้างหน้า ความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์จะเพิ่มสูงขึ้นจากนวัตกรรมอย่าง Big Data, Blockchain, Quantum Computing, หรือ 5G ทุกอย่างจะสามารถสื่อสารกันได้ หุ่นยนต์จะคิดเองโดยไม่ต้องมีมนุษย์สอน ขณะที่เราจะแยกไม่ออกเช่นกันว่าสิ่งไหนคือความคิดมนุษย์ เทคโนโลยีจะเป็นแรงบวกสำหรับเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และความรู้ทั่วโลกจะพัฒนาไปได้รวดเร็วกว่าที่เราเห็นในทศวรรษนี้

ขณะเดียวกัน โลกก็จะต้องเผชิญกับเทรนด์ที่สองซึ่งคือ ปัญหาภูมิอากาศที่ผันผวน

อุณหภูมิของโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นโดยเฉลี่ยปีละ 0.5 องศาเซลเซียส ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศบ่อยขึ้น คาดไว้ได้เลยว่าทศวรรษ 2020 ที่เรากำลังจะต้องเผชิญ ยิ่งจะมีฤดูที่ร้อนและหนาวที่หนักกว่าอดีต

ขณะเดียวกัน เฮอริเคนในสหรัฐ น้ำท่วมในยุโรป ภัยแล้งในแอฟริกา หรือไฟไหม้ในออสเตรเลีย และความผันผวนอื่นๆ เป็นสิ่งที่เรากำลังจะต้องเจอมากขึ้นในทศวรรษหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน

เทรนด์ที่สามคือ ความเปลี่ยนแปลงด้านภูมิประชากรศาสตร์ จะทำให้วิถีการบริโภค การลงทุน และการออมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ทีมวิเคราะห์ของ Investec เชื่อว่าวิทยาการด้านสาธารณสุขในช่วง 10 ปีข้างหน้าจะทำให้การมีอายุถึง 100 ปีเป็นเรื่องปกติ สัดส่วนประชากรณ์ผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดกระแสการบริโภคที่ชะลอตัว แต่ผู้คนจะเลิกทำงานช้าลง กลับมาเรียนใหม่หางานใหม่ เพราะสวัสดิการไม่เพียงพอ ขณะเดียวกัน ความเห็นที่แตกต่างกันระหว่างช่วงอายุก็อาจก่อให้เกิดปัญหาการเมืองได้ง่าย

นอกจากนั้น กรรมเก่าอย่าง “หนี้” เป็นเทรนด์ที่สี่ที่ตามหลอกหลอนเศรษฐกิจ

ทั่วโลกจะเริ่มต้นทศวรรษใหม่ที่ระดับหนี้ 80% ของการบริโภคต่อปี ธนาคารกลางทั่วโลกต้องใช้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อประคองเศรษฐกิจต่อไป ภาคการเงินจึงยังต้องรับบทหนักต่ออีกเป็นทศวรรษที่สอง

รัฐจะถูกร้องขอให้ใช้นโยบายการคลังมากขึ้น แต่จะถูกตั้งคำถามเรื่องความน่าเชื่อถือไปพร้อมกัน เราจึงต้องระวังความเสี่ยงของสงครามค่าเงินที่อาจเกิดขึ้นทั้งจากความตั้งใจและไม่ตั้งใจในหลายๆ ประเทศ

ท้าทายที่สุด เทรนด์ที่ห้าคงหนีไม่พ้น “จีน” ที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำเศรษฐกิจภายใน 10 ปีข้างหน้า

จีนจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนโยบาย Invented Designed and Made in China 2030 ในที่สุดสหรัฐจะต้องยอมรับว่าจีนคือเบอร์หนึ่ง

การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนจะดึงให้สัดส่วนชนชั้นกลางในเอเชียพุ่งขึ้นมาเป็น 66% ในสิ้นทศวรรษหน้าจาก 54% ในปัจจุบัน

แต่ตำแหน่งหัวแถวของจีนจะต้องแลกด้วย เงินทุนไหลเข้า ค่าเงินแข็ง และสังคมที่แก่งแย่งแข่งขันทั่วเอเชีย

นั่นคือทั้งหมดที่เราอาจจะต้องเจอในทศวรรษหน้า แปลไปเป็นคำแนะนำการลงทุนว่าในทศวรรษหน้าควร

“ให้น้ำหนัก” เศรษฐกิจตะวันออก ธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยี และความมั่นคง

“ลดน้ำหนัก” เศรษฐกิจตะวันตก และกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ

รวมไปถึง “ป้องกันความเสี่ยง” ด้วยการลงทุนที่หลากหลายมากกว่าบอนด์

และควรเริ่มตั้งแต่ตอนนี้

บิล เกตส์ นักธุรกิจชาวอเมริกันผู้ก่อตั้งบริษัท ไมโครซอฟท์กล่าวไว้ว่า

“คนส่วนใหญ่มักประเมินสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ในหนึ่งปีสูงไป และคาดการณ์สิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ในสิบปีต่ำเกินไป”

แม้จะไม่มีใครรู้ชัดว่าเทรนด์ในอนาคตเหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง และปรับตัวรับกับอนาคตตั้งแต่วันนี้ การจับ “โอกาส” และเลี่ยง “ความเสี่ยง” ในทศวรรษหน้าจะไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินความสามารถแน่นอน

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image