“เอเซีย พลัส” หวั่นข้อพิพาทสหรัฐ-อิหร่าน ดึงหุ้นไทยร่วงแตะ 1,530 จุด

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า จากกรณีที่อิหร่านได้ยิงขีปนาวุธจำนวนหลายสิบลูกเข้าใส่ฐานทัพอากาศสหรัฐ ซึ่งตั้งอยู่ในทางตะวันตกของอิรัก ทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสหรัฐและอิหร่านรุนแรงมากขึ้น ประเมินว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะทำให้กรอบล่างของดัชนีหุ้นไทย ลงไปได้ลึกมากขึ้น เบื้องต้นคาดว่าจะขยับลงไปอยู่ที่ระดับ 1,530 จุด ส่วนปัจจัยที่จะเกี่ยวให้หุ้นปรับระดับขึ้น น่าจะมีอยู่น้อยมาก โดยมองว่าต้องรอให้เหตุการณ์ข้อพิพาทสหรัฐ-อิหร่าน ลดความตึงเครียดลงมากกว่านี้

“กรอบล่างที่ระดับ 1,530 น่าจะเอาอยู่ หากเหตุการณ์ไม่ทวีความรุนแรง และขยายตัวออกไปในวงกว้าง โดยโอกาสที่เรื่องนี้จะยืดเยื้อมีสูง เพราะจุดเริ่มต้นก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้น จะต้องมีเรื่องราวพิพาทระหว่างกันมาก่อน รวมถึงสถานการณ์ในปัจจุบันฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ใช่แค่สหรัฐหรืออิหร่านเท่านั้น แต่ยังมีฝ่ายที่เลือกอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง ทำให้กระบวนการต่างๆ ไม่สามารถเกิดและจบลงอย่างรวดเร็วได้ โดยหากดัชนีหุ้นไทยจะปรับลดลงสู่ระดับ 1,500 จุด จะเกิดจากความกังวลของตลาดที่มีสูงมาก เกิดการทำสงครามระหว่างกันอย่างแท้จริง ขยายความรุนแรงไปยังประเทศที่สนับสนุนแต่ละฝ่าย รวมถึงการเมืองไทยมีความร้อนแรงมากขึ้น หรือเกิดการลงถนนจำนวนมาก ซึ่งเบื้องต้นมองว่าโอกาสลงถึง 1,500 จุดก็มีแต่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะส่งผลถึงอัตราราคาต่อกำไรของตลาดหุ้น” นายเทิดศักดิ์กล่าว

นายเทิดศักดิ์กล่าวว่า กลยุทธ์ที่แนะนำในการลงคือ ต้องจับหลักของปัจจัยพื้นฐานให้มากกว่าทุกครั้ง เพราะแม้จะไม่มีเหตุการณ์สหรัฐและอิหร่าน ยังมองว่าการปรับขนาดของตลาดมีค่อนข้างเบาบาง เนื่องจากหลายปัจจัย อาทิ การเติบโตของเศรษฐกิจ ที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประเมินว่าประเทศทั้งโลกจะโตประมาณ 3.4% แต่ไทยโตแค่ 2.8% เท่านั้น การเติบโตของกำไรต่อหุ้นของตลาดหุ้นส่วนใหญ่ คาดว่าโตที่ 5% แต่ตลาดหุ้นไทยอาจโตเพียง 3.9% ทำให้ความโดดเด่นในเชิงพื้นฐานของไทยยังมีไม่มาก รวมถึงเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ที่จะสนับสนุนตลาดหุ้นไทย เชื่อว่ายังไม่เข้ามา และคาดว่าต่างชาติจะขายสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 นับตั้งแต่ปี 2556 ส่วนเม็ดเงินจากสถาบันในประเทศ คาดว่าไม่น่าจะมีเข้ามา เนื่องจากปี 2563 ไม่มีกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) เป็นปีแรก ซึ่งที่ผ่านมาเม็ดเงินจากแอลทีเอฟ ที่จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอย่างน้อยก็ปีละ 2 หมื่นล้านบาท

นายเทิดศักดิ์กล่าวว่า ประเมินกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ 1 ล้านล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นที่ 95.71 บาท เติบโต 3.9% โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีกว่าตลาด ส่วนใหญ่เกิดจากฐานกำไรสุทธิปี 2562 โตต่ำกว่าปกติ เช่น กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มพลังงาน และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง รวมถึงหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวหนุนให้ผลประกอบการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ส่วนหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง เป็นกลุ่มขนส่ง การบิน และท่องเที่ยว เนื่องจากรับผลกระทบต่อปัญหาในตะวันออกกลาง

Advertisement

นายเทิดศักดิ์กล่าวว่า สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยในปี 2563 ประเมินว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,530 -1,675 จุด อัตราราคาต่อกำไรที่ 16 – 17.5 เท่า เมื่อคำนวณกับอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น จะอยู่ที่ 95.71 บาทต่อหุ้นดัชนี โดยมีส่วนต่างระหว่างราคาที่เหมาะสม กับราคาบนกระดาน เปิดกว้างสุดจากปัจจุบัน 6.8% นอกจากนี้ แนะนำให้นักลงทุนปรับเปลี่ยนการจัดพอร์ตลงทุน โดยเน้นหุ้นต่างประเทศ 10% หุ้นไทย 30% ตราสารหนี้ 30% เนื่องจากมองว่าอัตราดอกเบี้ยคงไม่ปรับขึ้นแน่นอน ตราสารอนุพันธ์ 10% ที่เหลือเป็นตลาดเงิน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image