‘ทรีนีตี้’ เผยยังไม่เห็นสัญญาณต่างชาติเข้าซื้อ ต้นปี-ปัจจุบัน ขายแล้วกว่า 3,000 ล้านบาท

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) จะโตที่ 2.8-2.9% โดยคาดการณ์ทิศทางดัชนีหุ้นไทยในปี 2563 จะเคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งไซด์เวย์ขนาดใหญ่ ในกรอบระดับ 1,480-1,700 จุด จากประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้น (อีพีเอส) ที่ยังคงไม่มีสัญญาณในการถูกปรับขึ้น  แต่ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงจูงใจเรื่องเงินปันผลที่ดี  โดยคาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้นในช่วง 4 เดือนแรก ตามปัจจัยฤดูกาลของหุ้นปันผลสูง ก่อนที่จะปรับย่อตัวลงหลังจากนั้น

นายวิศิษฐ์กล่าวว่า สำหรับทิศทางเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ประเมินว่าจะยังไม่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทย โดยนักลงทุนต่างชาติเป็นฝ่ายขายสุทธิกว่า 3,000 ล้านบาท นับตั้งแต่ต้นปี 2563 และหากนับจาก 10 ปีที่ผ่านมา มีการขายสุทธิสะสมแล้วกว่า 5 แสนล้านบาท โดยสัดส่วนการถือครองของต่างชาติในตลาดหุ้นไทย อยู่ที่ 28% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) ซึ่งถือเป็นการปรับลดสัดส่วนลงต่ำที่สุดในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศมียอดซื้อสุทธิกว่า 5 แสนล้านบาทในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยเชื่อว่าจะชะลอตัวลง หลังสิทธิพิเศษทางภาษีของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) หมดลง ทำให้เม็ดเงินลงทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยปัจจุบันเม็ดเงินแอลทีเอฟในระบบมีอยู่ 3.8 แสนล้านบาท ซึ่งจะทยอยหมดอายุภายในปี 2568 หากยังไม่มีกองทุนอื่นเข้ามาทดแทน

“แม้ฟันด์โฟลว์จะยังไม่ไหลเข้ามา แต่มองว่าโอกาสในการไหลเข้ามายังมีอยู่ โดยเชื่อว่านักลงทุนคงรอจังหวะที่เข้ามาเล่นในตลาดหุ้นไทย ซึ่งอาจเข้ามาในลักษณะการซื้อเป็นรายกลุ่ม (เซกเมนต์) หรือหุ้นที่มีปันผลสูง แต่ไม่ได้เข้ามาซื้อเป็นก้อนเหมือนในอดีต โดยกลุ่มที่น่าสนใจคือ หุ้นที่ราคายังปรับตัวขึ้นไม่มาก เท่าปัจจัยพื้นฐานที่ควรจะเป็น ซึ่งยังสามารถเข้าซื้อเพื่อสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้นได้ ขณะนี้มองว่าตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย แต่หากเกิดขึ้นจะทำให้การลงทุนเสียหายมาก หลักๆ ได้แก่ การที่พันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐ มีโอกาสปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ราคาพันธบัตรประเภทอื่นๆ ลดลงอย่างรวดเร็ว และส่งผลเสียหายต่อตลาดทุน โดยแนะนำให้ใช้ทองคำ หรือ เงินสดเป็นการประกันความเสี่ยงของการลงทุน”นายวิศิษฐ์กล่าว

นายวิศิษฐ์กล่าวว่า ในส่วนของปัจจัยบวกคือ สงครามการค้าที่ผ่านพ้นความตรึงเครียดสูงสุดไปแล้ว ทำให้ผู้ผลิตและผู้จัดซื้อมีความเชื่อมั่นที่สูงขึ้น เศรษฐกิจโลกจึงมีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่สภาพคล่องในระบบการเงินโลกยังคงสูงอยู่ สะท้อนผ่านขนาดงบดุลของธนาคารกลางสำคัญที่จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป โดยประเทศไทยยังมีความคาดหวังสำคัญอยู่ที่การใช้จ่ายลงทุนของภาครัฐ หลังพ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 ได้รับความเห็นชอบจากสภาในไตรมาส 1 ของปี 2563 แต่ยังมีปัจจัยลบคือ ค่าเงินบาทในเชิงเปรียบเทียบกับการแข่งขัน บ่งบอกถึงไทยกำลังสูญเสียศักยภาพในการแข่งขัน โครงสร้างประชากรที่สูงวัยมากขึ้น การเกิดเทคโนโลยีดิสรัปชั่น การจ้างงานที่ลดลงทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง และการผลิตในประเทศลดลงตาม

Advertisement

นายวิศิษฐ์กล่าวว่า แนะนำการจัดพอร์ตหุ้น โดยให้แบ่งสัดส่วนลงทุนในหุ้น 30% แบ่งเป็นหุ้นไทย 10% และหุ้นต่างประเทศ 20% โดยเฉพาะหุ้นในเอเชีย อาทิ หุ้นจีน เวียดนาม มาเลเซีย  ลงทุนในตราสารหนี้ 30% ตราสารหนี้ไทย 10% และตราสารหนี้ต่างประเทศ 20% ลงทุนในทองคำ 10% และลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 10% กองทุนในประเทศ 5% และกองทุนต่างประเทศ 5% ที่เหลือให้ถือเป็นเงินสด 20% เพื่อใช้เป็นจังหวะในการซื้อสินทรัพย์ช่วงที่ราคาปรับตัวลงมา นอกจากนี้ ทรีนีตี้มีบริการ Smart Wealth จัดพอร์ต มั่นคง และพอร์ตว่องไว ให้กับนักลงทุนที่ไม่มีเวลา ในการติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด และไม่สะดวกในการหาข้อมูลการลงทุน รวมทั้งไม่มีเวลาเฝ้าราคา ในการหาจังหวะการเข้าซื้อและขายหุ้นด้วยตนเอง โดยทีมวิเคราะห์หลักทรัพย์ของทรีนีตี้ จะช่วยเลือกหุ้น 5 ตัวเข้าพอร์ตและให้ข้อมูลจังหวะ ในการเข้าซื้อและขายให้เจ้าหน้าที่การตลาดดำเนินการซื้อให้ โดยที่นักลงทุนเพียงแค่เปิดพอร์ตและวางเงิน โดยที่ผ่านมาพอร์ตมั่นคงและว่องไว มีผลตอบแทนที่ดีกว่าในตลาดหุ้นไทย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image