คลุกวงหุ้น : ‘เคจีไอ’ คาดสัปดาห์นี้ปัจจัยภานนอกคลี่คลาย แต่ปัจจัยภายในยังเสี่ยงต่อ (ชมคลิป)

นายรักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในรายการคลุกวงหุ้นว่า ภาพรวมตลาดหุ้นประจำสัปดาห์นี้ ประเมินว่า ไม่สดใสเหมือนช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยปัจจัยในประเทศ เริ่มกลับมามีความไม่แน่นอนในเรื่องของพ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 2563 ในประเด็นการเสียบบัตรออกเสียงแทนกันของส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งขณะนี้น่าจะอยู่ในขั้นตอนการเตรียมยื่นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญตีความ ซึ่งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลต่างจะยื่นเรื่องต่อศาลเช่นกัน จึงต้องให้มีคำตัดสินออกมาก่อนว่า ร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 2563 ที่ผ่านการพิจารณาของส.ว.แล้ว จะดำเนินต่อไปอย่างไร แต่ในระยะสั้น คาดว่าจะทำให้หุ้นที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลทั้งหมด มีบรรยากาศที่ไม่ได้ดีเท่าที่ควรเกิดขึ้น รวมถึงผลประกอบการไตรมาส 4 ของหุ้นกลุ่มธนาคาร ที่ออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มีการกันสำรองในส่วนของหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) ไว้ค่อนข้างมาก ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์อื่นๆ ก็มีการกันสำรองหนี้เสียไว้ในระดับที่มากพอๆ กัน ทำให้ภาพรวมกำไรสุทธิของหุ้นกลุ่มแบงก์ รายงานออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ บรรยากาศในประเทศไทยจึงเริ่มมีปัจจัยลบเข้ามาเพิ่มขึ้น

นายรักพงศ์กล่าวว่า สำหรับปัจจัยต่างประเทศ ความจริงแล้วไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่สิ่งที่กดดันหุ้นกลุ่มน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา เป็นเรื่องอุปทานส่วนเกินในตลาดน้ำมัน หลังจากเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ ) ได้ออกมาประเมินอุปทานในตลาดน้ำมัน ที่มีปริมาณสูงถึง 1,000,000 บาร์เรลต่อวัน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 รวมถึงประเด็นโรคระบาดโคโรน่าไวรัส ที่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการบิน และความต้องการใช้น้ำมันในการเดินทางต่างๆ ซึ่งมีผลกดดันให้ราคาน้ำมันปรับลดลงเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นแรงกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ และมีน้ำหนักมากในตลาดหุ้นไทย

“ปัจจัยบวกเป็นเรื่องค่าเงินบาท ที่ในช่วงที่ผ่านมาปรับแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง และสร้างความกังวลใจให้กับผู้ส่งออกสินค้าไทย และความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยมาหลายเดือน โดยล่าสุดมองว่ามาตรการดูแลค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เริ่มเห็นผลเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากค่าเงินบาทปรับอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อนำมาประกอบกับข้อตกลงทางการค้าเฟสแรกที่สหรัฐและจีน สามารถทำสัญญาร่วมกันได้แล้วนั้น น่าจะทำให้ภาคการส่งออกฟื้นตัวได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 อย่างไรก็ตามแม้สหรัฐและจีน จะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าร่วมกันได้แล้ว แต่ไม่อยากให้นักลงทุนคาดหวังมากนัก เนื่องจากประธานาธิบดีสหรัฐได้ออกมาเปิดเผยอย่างชัดเจนว่า ต้องการรอดูทิศทางที่หากชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2 อาจจะทำการเจรจาการค้าเฟสถัดไป หลังการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2563 ปัจจัยสงครามการค้าจึงน่าจะมีผลกับตลอดหุ้นในน้ำหนักที่น้อยลง สำหรับกลยุทธ์ที่แนะนำในการลงทุนคือ ให้น้ำหนักไปที่หุ้นปันผลสูงเป็นหลัก เพื่อลดความเสี่ยงลง ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงรออยู่ แม้ดัชนีหุ้นไทยจะปรับลดลงมากแล้วในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม”นายรักพงศ์กล่าว

ส่วนหุ้นเด่นจะเป็นตัวไหน ต้องติดตามในรายการคลุกวงหุ้น!

Advertisement

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image