‘เจ้าสัวธนินท์’แบ๊กอัพเศรษฐกิจ4.0 ไม่เปลี่ยน = แพ้

เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์

หมายเหตุ – นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ภายหลังซีพีเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำให้กับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจและนักธุรกิจระดับผู้นำ ในโอกาสเดินทางไปชักจูงการลงทุน (โรดโชว์) ของอุตสาหกรรมเป้าหมาย ณ กรุงปักกิ่งและนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 26-30 มิถุนายน 2559

รองนายกรัฐมนตรี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เดินทางมาชักจูงนักลงทุนจีนในฐานะแขกของรัฐบาลจีน โดยเจาะจงอุตสาหกรรมไฮเทค อุตสาหกรรม 4.0 ให้ลงทุนในประเทศไทย ไม่ใช่อุตสาหกรรมธรรมดา เป็นเรื่องที่ดี ซึ่งผมเองก็พยายามเชิญชวนนักลงทุนจีนให้ลงทุนไทยเช่นกัน โดยอุตสาหกรรมไฮเทคหากลงทุนในไทย จะทำให้ประเทศก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก จึงถือว่ากลยุทธ์ของรองนายกฯสมคิดดีมาก และกำหนดเป้าหมายชัดเจน

การหารือที่สำคัญกับจีนครั้งนี้ อาทิ หารือกับผู้บริหารบริษัท หัวเหว่ย เทคโนโลยี จำกัด ซึ่งการดึงหัวเหว่ยลงทุนไทยจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางอิเล็กทรอนิกส์ เพราะนอกจากไทยจะลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเรือ อากาศ และบนบกแล้ว การลงทุนด้านเน็ตเวิร์กก็มีความสำคัญ อินเตอร์เน็ตจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ

อีกรายที่น่าสนใจคือ การหารือกับมหาวิทยาลัยชิงหัว สถาบันการศึกษาที่สนับสนุนธุรกิจกลุ่มสตาร์ตอัพ มีความไฮเทคระดับโลก ปัจจุบันมหาวิทยาลัยชิงหัวได้จัดตั้งบริษัทเพื่อสนับสนุนสตาร์ตอัพ สัดส่วนการถือหุ้น 70% ถือเป็นการลงทุนแบบนักธุรกิจที่สามารถฟักไข่นักศึกษาให้เป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่มีความสามารถ มีกองทุนให้การสนับสนุนมหาศาล พร้อมกันนี้รองนายกฯสมคิดก็ได้หารือกับอีกหลายบริษัทที่น่าสนใจ

Advertisement

นอกจากชักจูงการลงทุนจีนซึ่งผมร่วมคณะด้วย ที่ผ่านมารัฐบาลและผมก็ได้ไปชักจูงการลงทุนที่ญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นเป็นกลุ่มที่ลงทุนในไทยมากสุด ดังนั้นไทยต้องดูแลไม่ให้ญี่ปุ่นย้ายฐานการลงทุนไปจากไทย ขณะเดียวกันต้องชักชวนให้มีการขยายการลงทุนมากขึ้นด้วย โดยบทบาทของรองนายกฯสมคิด ระหว่างเดินทางไปญี่ปุ่น เหมือนผู้ช่วยบีโอไอ (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) เข้าไปสัมผัสนักธุรกิจระดับท็อปของประเทศ ญี่ปุ่นมีกองทุนสนับสนุนด้านการลงทุนมหาศาล จึงมีโอกาสออกไปลงทุนต่างประเทศสูง อีกประเทศที่รัฐบาลเดินทางไปชักจูงการลงทุนแล้ว คือเกาหลีใต้ที่มีบทบาทสำคัญด้านการลงทุนไทย

ข้อสำคัญในการดึงดูดการลงทุนไทย ผลักดันเศรษฐกิจ คือ นโยบายของรัฐบาลต้องชัดเจนว่าจะไปทางไหน และควรพัฒนาประเทศตามการเปลี่ยนแปลงของโลก ผมอยากเรียนให้ทราบว่า เมื่อใดที่เกิดวิกฤต มีการเปลี่ยนแปลงของโลก สิ่งนี้ถือเป็นโอกาส เมื่อเกิดวิกฤตย่อมมีโอกาส เช่นเดียวกับการนั่งเก้าอี้ หากนั่งเต็มแถว ไม่มีใครลุก คนที่ยืนอยู่ก็จะไม่มีโอกาสนั่ง การนั่งแทนที่คือโอกาส การเปลี่ยนแปลงคือโอกาส ปัจจุบันโลกกำลังเปลี่ยนแปลง อุตสาหกรรมกำลังเปลี่ยนจาก 3.0 เป็น 4.0 เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ ธุรกิจเก่า ไม่มีการพัฒนาจะหมดไป อาทิ การผลิตคอมพิวเตอร์ อนาคตคอมพิวเตอร์แบบเก่าจะไม่ได้รับความนิยม ไม่มีคนใช้ ตัวจอจะหายไป นี่คือการเปลี่ยนของอุตสาหกรรม

อีกอุตสาหกรรมที่ต้องมีการพัฒนา คือธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพ ผู้สูงอายุ ทั้งการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ อาหาร ล่าสุดมีบริษัทที่ดูแลผู้สูงอายุผลิตอุปกรณ์ช่วยผู้สูงอายุ อุปกรณ์ที่ช่วยในการอาบน้ำ เตียงนอน รถเข็น เพราะทุกวันนี้คนแก่เพิ่มขึ้น ซึ่งซีพีเองต้องการทันโลก จึงมีความสนใจในธุรกิจผู้สูงอายุ ผู้ป่วย อาหารตามวัย อาหารบำรุงสุขภาพ บำรุงผิวให้เต่งตึง แต่โจทย์หลักคือต้องอร่อย เพราะความต้องการหนึ่งของคนเราคือทางปาก จากการกิน ล่าสุดร่วมกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดทำงานวิจัยด้านอาหาร 4 โครงการ ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำการวิจัยและเตรียมให้ทุนนักวิจัย เพื่อพัฒนาด้านหุ่นยนต์ ไบโอเทคโนโลยี โดยหุ่นยนต์จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตมนุษย์ เพราะสามารถทำงานได้ตลอดเวลา ไม่เหนื่อยเหมือนมนุษย์ อนาคตจะมีการเขียนซอฟต์แวร์หุ่นยนต์ที่ไม่สิ้นสุด

Advertisement

การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมไปสู่ 4.0 ธุรกิจใหญ่ดำเนินไปได้ แต่ธุรกิจขนาดจิ๋ว ขนาดเล็ก รัฐบาลต้องเข้าไปดูแล ให้มีศักยภาพในการผลิต อาจไม่ใช่ไฮเทค เพราะขนาดใหญ่มีความชำนาญกว่า จะพึ่งพาช่างเทคนิค และหุ่นยนต์ แต่ธุรกิจขนาดจิ๋ว เล็ก ต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่ภาคบริการซึ่งเป็นที่ต้องการในอนาคต รัฐต้องสนับสนุน ขณะเดียวกันรัฐต้องพัฒนาแรงงานไปสู่ช่างเทคนิค คือทำงานมีประสิทธิภาพสูง รวมทั้งผลักดันแรงงานในภาคบริการ เป็นพนักงาน ไม่ใช่แค่แรงงานทั่วไป เพราะแรงงานทั่วไปควรมาจากประเทศอื่น

หากดำเนินการเช่นนี้ประเทศไทยจะเจริญ ร่ำรวย สินค้าจะขายดี ข้าราชการจะได้เงินเดือนสูงเพราะรัฐบาลสามารถเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น

การลงทุนของซีพีในช่วง 5 ปีนับจากนี้ จะลงทุนปรับปรุงทุกโรงงานในเครือให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและมีความปลอดภัยสูง นอกจากนี้จะส่งเสริมธุรกิจขนาดจิ๋วให้เป็นเถ้าแก่ อาทิ โครงการจัดตั้งภัตตาคาร โดยซีพีจะสนับสนุนวัตถุดิบให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก การกำหนดมาตรฐานอาหาร ความปลอดภัย และศึกษาอุตสาหกรรมไบโอเทคโนโลยี รวมทั้งเตรียมผลิตยาคุณภาพสูงแต่ราคาถูกให้คนไทย จากปัจจุบันผลิตในจีนเป็นหลัก ทั้งหมดนี้คือการปรับ เพราะคนที่เปลี่ยนตัวเองจะชนะ ถ้าก้าวไม่ทันก็จบ

นอกจากการพัฒนาธุรกิจที่มีอยู่ กลุ่มซีพียังมีความสนใจอย่างมากที่จะร่วมในการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างการพบปะหารือร่วมกัน ขณะนี้จึงอยู่ระหว่างพิจารณาเพื่อประกอบการตัดสินใจว่ารูปแบบการลงทุนจะออกมาในลักษณะใด คาดว่าจะได้คำตอบภายใน 2-3 เดือนนี้

สาเหตุที่สนใจโครงการดังกล่าว เพราะเป็นโครงการที่ดี ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีโดยภาพรวมในอนาคตของประเทศ เช่น เกิดการขยายตัวของเมืองจากที่กระจุกตัวอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เพราะไม่สามารถเดินทางเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯได้สะดวก ต้องใช้เวลานาน แต่หากมีโครงการดังกล่าว ประชาชนสามารถออกไปอาศัยตามเส้นทางรถไฟได้ คือใน จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง ที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯในเวลาไม่เกิน 40 นาที คุณภาพชีวิตจะดีขึ้นตามไปด้วย เพราะสามารถมีที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ขึ้นในราคาที่ถูกลง ไม่ต้องแออัดเฉพาะในกรุงเทพฯ

การจะก่อสร้างโครงการดังกล่าวต้องทำควบคู่กันไปกับการพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างอื่นด้วย รวมทั้งการก่อสร้างเมืองใหม่ในพื้นที่ภาคตะวันออกขึ้นมาด้วย การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ที่สามารถรองรับผู้โดยสาร ใช้ในการขนส่ง ต้องสร้างโรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล เอาคนเก่งระดับโลกมาอยู่ เพื่อรองรับการเจริญเติบโตในอนาคต

นายกฯประยุทธ์บอกว่า โครงการนี้รัฐบาลลงทุนคงขาดทุนแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็ให้เอกชนทำแล้วกัน นายกฯบอกว่าให้เอกชนมาช่วยลงทุนหน่อยแล้วกัน ผมจะบอกว่าผมไม่เคยวิ่งเต้น จะวิ่งเต้นทำไมในเมื่อโครงการมันอาจขาดทุน คนเข้าใจผิดว่าผมวิ่งเต้น แต่ผมสนใจจะทำ เพราะคิดว่าถ้าไม่ทำก็น่าเสียดาย แต่ตอนนี้ยังสนใจแค่สายเดียว

ประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลางที่แท้จริงอยู่ใกล้จีน แม้ว่าพม่าจะอยู่ใกล้จีนมากกว่า แต่ไทยมีความพร้อมมากกว่า หากประเทศไทยขาดความต่อเนื่องในการพัฒนาต่างๆ จะทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในประเทศอื่น วันนี้ผมไม่ได้คิดว่าพม่าจะเป็นคู่แข่ง แต่มองว่านักลงทุนจะหันไปหาเวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เพราะมีความพร้อมในหลายด้าน แม้ว่าทั้งฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย อาจมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง มีการเลือกตั้งบ่อยครั้ง แต่มีประชากรจำนวนมากเป็นข้อได้เปรียบที่อาจดึงดูดนักลงทุน ส่วนเวียดนามเองมีข้อได้เปรียบตรงที่การเมืองมีพรรคเดียวและนโยบายมีความมั่นคง

จากนโยบายของรัฐทั้งหมดของรัฐ ถ้ากำหนดชัดเจน แล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เอกชนไม่กลัว แต่ที่กลัวคือ รัฐบาลชุดนี้ต้องแก้กฎหมายต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อประเทศ ต้องแก้กฎหมายให้ไทยทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก รองรับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปแล้ว ตัวอย่างอุตสาหกรรมที่เรามี คืออิเล็กทรอนิกส์ จะเปลี่ยนเป็นไบโอเทคโนโลยี หุ่นยนต์ และอุปกรณ์การแพทย์

ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือให้ความเห็นใดๆ แต่รู้อย่างหนึ่งคือนโยบายต้องชัดเจน ต่อเนื่อง ทุกโครงการต้องมีความต่อเนื่อง ต้องออกกฎหมายเพื่อให้นโยบายเดินไปแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image