”สมชาย” ชี้พิษโคโรนาออกฤทธิ์หนัก คาดฉุดจีดีพีไทย ปี’63 โตเพียง 2.2%

นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระ ด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง เปิดเผยว่า ในปี 2563 อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะดีกว่าปี 2562 อยู่ที่ 3.3% ภายใต้สมมุติฐานว่า ประเทศที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ได้แก่ จีน ที่ตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจ (จีดีพี) จากเดิมที่คาดว่าจะโตอยู่ที่ 6% ปรับลดลงมาเหลือ 5.8% และสหรัฐฯ เติบโตอยู่ที่ 2% ซึ่งปรับลดลงกว่าปี 2562 รวมถึงยุโรป ที่คาดว่าจะโต 1.2-1.3% โดยในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์โลกปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วอย่างเห็นได้ชัด เพราะได้รับกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ซึ่งจากผลกระทบดังกล่าว ยังไม่มีใครตอบได้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไรต่อไป โดยสะท้อนได้จากตัวเลขผู้ติดเชื้อในจีนเพิ่มขึ้นกว่า 15,000 ราย ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีในการนับผู้ติดเชื้อใหม่เท่านั้น โดยมุมมองของนักวิเคราะห์ที่มีต่อสถานการณ์การแพร่เชื้อมองว่า จำนวนผู้ติดเชื้อได้ผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว และมีการชะลอตัวลง รวมถึงไวรัสโคโรนาก็ไปเน้นหนักอยู่ในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน แต่ประเทศอื่นพบผู้ติดเชื้อในปริมาณที่ไม่ได้มากจนน่าเป็นกังวล แต่ต้องไม่ประมาท และควบคุมสถานการณ์ให้ปลอดภัยที่สุด

“ถึงแม้จีนจะประสบปัญหาหลายเรื่อง ทั้งวิกฤตไวรัสโคโรนา ภาวะหนี้สาธารณะและหนี้เอกชนสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 60% ของจีดีพี และความกดดันจากสถานการณ์สงครามการค้าสหรัฐฯและจีน แม้จะคลายตัวได้บ้าง แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูงมาก โดยหากสามารถควบคุมได้ภายใน 2 เดือนนี้ เชื่อว่ารัฐบาลจีนจะต้องอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างหนักแน่นอน เชื่อว่าคงไม่ปล่อยให้เศรษฐกิจลดหนักกว่านี้ เนื่องจากจีนจะต้องรักษาความชอบธรรมทางเศรษฐกิจ ที่จะส่งผลต่อความชอบธรรมทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์เอาไว้ จึงมองว่าจีดีพีจีนน่าจะขยายตัวมากกว่า 5% แต่อาจจะไม่สามารถทำได้ถึง 6% เพราะคงยากเกินไปในสถานการณ์แบบนี้ โดยมองว่าผลกระทบของไวรัสโคโรนาจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมากกว่าในสมัยของการแพร่ระบาดของโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง (ซาร์) เพราะอัตราการติดเชื้อมากกว่า และมีผู้เสัยชีวิตเยอะกว่า โดยปัจจุบันเศรษฐกิจจีนมีสัดส่วนในจีดีพีโลกเพิ่มมากขึ้นจากเดิม 4.2% มาเป็น 14.3% นักวิเคราะห์หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของจีดีพีของจีนจะลดลงประมาณ 1-1.5% หรือเติบโตแค่ 4.5-5% ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ 6% ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเติบโตแค่ 2.4% เท่านั้น” นายสมชายกล่าว

ขณะที่ ภาคการท่องเที่ยว คาดว่าสถานการณ์จะคลี่คลายภายในเดือนมิถุนายน 2563 ส่วนสำคัญคือ ต้องปรับมุมมองของนักท่องเที่ยวให้เห็นว่าเหตุการณ์คลายตัวลงแล้ว และสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ตามปกติ โดยคาดว่าประเทศเกิดใหม่หลายประเทศ อาทิ อินเดีย รัสเซีย บราซิล และกลุ่มประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา อาทิ ตะวันออกกลาง อเมริกา และยุโรป จะเป็นตลาดที่มีศักยภาพสามารถในการส่งแรงให้ภาคท่องเที่ยวไทยได้ โดยไทยต้องเร่งกระจายการท่องเที่ยวให้สนับสนุนเศรษฐกิจครบวงจร ทั้งภาคเกษตร  พร้อมเตรียมดึงนักลงทุนต่างชาติที่เตรียมย้ายฐานการผลิตจากสงครามการค้าฯ ให้เข้ามาช่วยท่องเที่ยวไทยทางอ้อมอีกด้วย

นายสมชาย กล่าวว่า ในส่วนของภาคที่ได้รับผลกระทบจากการพึ่งพาตลาดจีน ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยว และการส่งออก โดยคาดว่าภาคการส่งออกของไทยน่าจะติดลบ 2-4% และภาคการท่องเที่ยวก็อาจจะติดลบประมาน 9% ตามการคาดการณ์ตัวเลขจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ทำให้ปี 2563 เศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องพึ่งพางบประมาณภาครัฐที่เตรียมจะปล่อยออกมามากกว่า 3.2 ล้านล้านบาท ซึ่งปัญหาเรื่องบประมาณน่าจะจบภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ และสามารถเบิกจ่ายได้เร็วขึ้น ทำให้ปี 2563 เศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวประมาณ 2-2.2% เพราะเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ถูกผลกระทบหลายเรื่อง จึงคาดว่าคงโตได้ไม่เกินนี้ รวมถึงมองว่าการใช้กลยุทธ์ในการกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ไม่เน้นจำนวนมากนัก เหมือนในช่วงที่ผ่านมา น่าจะเป็นส่วนช่วยขับเคลื่อนท่องเที่ยวต่อไปด้วย

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image