จอดป้ายประชาชื่น : ถึงเวลาต้องเปลี่ยน

ถึงแม้จะมีการควบคุมราคากันมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับราคาหน้ากากอนามัย ที่กลับมาเป็นที่ต้องการอย่างมากขึ้นอีกครั้ง เมื่อช่วงต้นปี 2563 จากปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน (พีเอ็ม 2.5) และโรคปอดอักเสบ หรือโควิด-19 จากจีน

จากความต้องการดังกล่าว ส่งผลให้ประชาชนในประเทศ และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวไทย มีการซื้อหน้ากากอนามัยไปกักตุนไว้เป็นจำนวนมาก จึงทำให้สินค้าขาดตลาดไปชั่วคราว ส่วนบางรายที่ยังพบว่ามีการขายก็มีการปรับขึ้นราคา จากชิ้นละ 1 บาทขึ้นเป็น ชิ้นละ 20 บาท ส่วนในตลาดออนไลน์พบว่าราคาสูงลิ่ว ทำให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก

ฟากรัฐบาลเมื่อรับทราบถึงปัญหาที่ประชาชนต้องเจอะเจอ ล่าสุดได้นำหน้ากากอนามัยออกมาขาย แต่ก็ไม่วายเจอกระแสตีกลับ ทั้งในเรื่องของราคาที่ขายตกชิ้นละ 2.50 บาท ซึ่งประเด็นนี้ ทางรัฐบาลได้ออกมาชี้แจงว่า เนื่องจากต้นทุนสูงจึงทำให้ต้องนำหน้ากากอนามัยมาขายในราคาดังกล่าว

ส่วนมาตรการที่ภาครัฐจะเข้ามาดูแลภายหลังจากมีผลบังคับใช้ อาทิ การชี้แจงต้นทุนราคาขาย ปริมาณการผลิต ปริมาณการนำเข้า ปริมาณการส่งออกรวมไปถึงสต๊อกสินค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน หรือหากจะมีการเคลื่อนย้ายสินค้าตั้งแต่ 500 ชิ้นขึ้นไปหรือปริมาณ 10 กล่อง จะต้องมีการขออนุญาตเคลื่อนย้าย เป็นต้น หากพบกระทำผิด ดำเนินการทางกฎหมาย จำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

Advertisement

ขณะที่ในมุมของประชาชนมองว่า รัฐบาลควรผ่อนภาระในเรื่องนี้ให้กับประชาชนมากกว่านี้ และไม่ควรมีพิธีรีตองมากในช่วงที่เปิดจำหน่าย และควรเอาจริงกับผู้ที่ค้ากำไรเกินควรโดยเร็ว

เชื่อว่าปัญหาเรื่องฝุ่น และเรื่องไวรัสโควิด-19 จะยังวนเวียนอยู่ในชีวิตประจำวันของประชาชนไปอีกสักพัก  ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะต้องเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อไม่เป็นการเพิ่มรายจ่ายเพิ่มภาระกับประชาชน

คงต้องลุ้นกันต่อไปว่า เสียงเรียกร้องของประชาชนในครั้งนี้ จะดังพอให้รัฐบาลปรับเปลี่ยนวิธีคิด และปฏิรูปการทำงานของตัวเองอย่างจริงจังเสียที

Advertisement

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่เพิ่มเพื่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image