คลุกวงหุ้น : ‘เคจีไอ’ มองตลาดหุ้นไทยยังเสี่ยงสูง จากแรงกดดันโควิด-19 ฉุดหุ้นร่วงต่อ (มีคลิป)

นายรักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในรายการคลุกวงหุ้นว่า ภาพรวมตลาดหุ้นประจำสัปดาห์นี้ ยังมองภาพรวมไม่ดีมากนัก เนื่องจากดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับระดับลงได้อีก โดยสาเหตุมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ที่ถึงแม้ว่าการแพร่ระบาดในประเทศจีนจะชะลอตัวลง แต่เคจีไอยังมีความกังวลต่อกระแสข่าวการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าวที่ประเทศญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อยังเร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้หากการควบคุมโรคระบาดดังกล่าวทำได้ช้า อาจสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลก และผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวไทยมีสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ ว่าก่อนหน้านี้จะส่งผลกระทบต่อจีนเพียงประเทศเดียว

“สำหรับทิศทางการเมืองไทย ในเรื่องของงบประมาณประจำปี 2563 ชัดเจนแล้วว่า จะมีการเตรียมทูลเกล้าในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และในส่วนของคำตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่นั้น ในแง่ของตลาดหุ้นไทยเบื้องต้นเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสนใจและกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา และสภาวการณ์เศรษฐกิจในประเทศมากกว่า” นายรักพงศ์กล่าว

นายรักพงศ์กล่าวว่า ขณะที่ประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอการเติบโตลง สะท้อนได้จากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ของไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2562 เติบโตได้เพียง 1.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ซึ่งทำให้ตัวเลขจีดีพีทั้งปี 2562 เติบโตเพียง 2.4% เท่านั้น สิ่งที่กังวลก็คือ ในปี 2563 จีดีพีไทยทั้งปีเต็มที่น่าจะโตได้เพียง 2% เท่านั้น หรืออาจจะต่ำกว่านั้นเล็กน้อย ซึ่งจะทำให้ทิศทางของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทย อาจมีการปรับคาดการณ์ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยลดลงได้อีกในช่วง 2-3 สัปดาห์ต่อจากนี้ โดยประเมินว่า กำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยจะโตได้ไม่มากเท่าที่ควร จากเดิมที่เชื่อว่าฐานกำไรที่ต่ำของปี 2562 จะทำให้กำไรสุทธิของปี 2563 โตได้ที่ 8% แต่เนื่องจากการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา ส่งผลกระทบทั้งในส่วนของราคาน้ำมัน แนวโน้มการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ประกอบกับภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ชะลอการเติบโตลง ทำให้ภาคธนาคารเริ่มมีความเสี่ยงในการกันสำรองอีกครั้ง ล่าสุดจึงมองว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย จะโตได้เพียง 4-5% โดยหากสถานการณ์โรคระบาดลากยากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ในปี 2563 ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย อาจจะโตได้แค่ 2-3% เท่านั้น สำหรับกลยุทธ์ที่แนะนำในการลงทุนคือ ให้น้ำหนักไปที่หุ้นปันผลสูงเป็นหลัก และหุ้นที่ได้อนิสงค์จากค่าเงินบาทที่ปรับอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว

ส่วนหุ้นเด่นจะเป็นตัวไหน ต้องติดตามในรายการคลุกวงหุ้น!

Advertisement

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่เพิ่มเพื่อน

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image