คิด เห็น share : โคโรนาไวรัสอวสานโลก (การเงิน) : โดย ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์
อวสานของตลาดทุนมาถึงแล้ว และครั้งนี้มากับการแพร่ระบาดของไวรัสทั่วโลก
อ่านจั่วหัวแล้วรู้สึกอย่างไรครับ คิดถึงภาพยนตร์เข้าใหม่? กลัวมากขึ้น? หรือตกใจไหม?
ที่จริงแล้ว ผมเองก็ไม่เชื่อว่าตลาดทุนจะต้องถึงจุดสิ้นสุดเพราะปัญหาไวรัสระบาด แต่ก็คงไม่ผิดที่จะบอกว่า ความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ทั่วโลกครั้งนี้ กำลังสื่อความหมายที่น่ากลัวระดับ “อวสานของตลาดการเงิน” อยู่
เพราะไม่ใช่แค่ดัชนีหลักทรัพย์ทั่วโลกปรับตัวลงเป็น 10% ในไม่กี่วัน แต่หลายที่ทำจุดต่ำสุดของปีไปแล้ว ลามไปถึงบอนด์ยีลด์ที่ก็ไล่ทำสถิติต่ำสุดตลอดการครั้งใหม่ในหลายตลาด บ่งบอกว่าความกังวลของนักลงทุนยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ความผันผวนจากฝั่งเศรษฐกิจก็กำลังต่อคิวเข้ามากดดัน
ไม่ช้าก็เร็ว ตลาดการเงินจะต้องรับมือกับความเสี่ยงทั้งหมดนี้พร้อมกัน ซึ่งแม้จะรอดจากวิกฤตไปได้ แต่ก็คงมีหลายเรื่องที่อาจพบกับ “อวสาน” ในปีนี้
เรื่องแรกที่ผมคิดว่าเราจะต้องเจอคือ อวสานของนโยบายการเงิน
ไม่ใช่แค่เพราะธนาคารกลางไม่ใช่โรงพยาบาลจึงรักษาโรคไม่ได้ แต่นโยบายการเงินดูจะไม่ใช่ยาที่สามารถรักษาเศรษฐกิจในตอนนี้ได้เช่นกัน
นั่นเป็นเพราะว่า ความผันผวนสามารถกดดันจนกฎเกณฑ์ หรือแนวทางที่ควรเป็นของนโยบายการเงินทั่วโลกไร้ความหมายได้ บทบาทของธนาคารกลางที่เคยเป็น “ผู้ชี้นำตลาด” จึงหมดไปอย่างสมบูรณ์แบบ
ล่าสุด การที่บอนด์ยีลด์สหรัฐตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปที่ทำสถิติต่ำสุดใหม่รายวัน ยิ่งตอกย้ำว่า เหล่าผู้กำหนดนโยบายไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องตามใจตลาดด้วยการผ่อนคลายเชิงนโยบาย เพิ่มเติมเพื่อลดความกังวลกับปัญหาเศรษฐกิจถดถอย
นั่นจึงหมายความว่า การอวสานของยุคธนาคารกลางครองตลาดนี้ทำให้นโยบายการเงินที่มีในปัจจุบันจะไม่สามารถสยบความผันผวนลงได้
ต่อมา เรื่องที่ต้องระวังไม่แพ้กันคือ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ตกต่ำนาน จนอาจกดดันให้ตลาดกระทิงต้องถึงตอนอวสานไปด้วย
เพราะถ้าสังเกตตลาดการเงินให้ดี จะพบว่าประเด็นหลักที่ทำให้การระบาดของไวรัสกลายมาเป็นความผันผวนที่สูงในตอนนี้ ไม่ได้เกิดจากความรุนแรงของโรค แต่เกิดขึ้นจากความเชื่อมั่นที่สูงเกินไปของนักลงทุน ว่าปัญหานี้เป็นเรื่องเล็กน้อยที่จะจบลงอย่างรวดเร็ว
สวนทางกับทั้งธรรมชาติของโรคระบาด ที่สามารถกระจายตัว สร้าง exponential growth ได้เรื่อยๆ ขณะเดียวกันแนวทางการควบคุมโรคและความกลัว ก็ดูจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจยาวนานเกินกว่าที่หลายสำนักคาดการณ์ไว้ จนต้องปรับประมาณการลงแล้วก็ปรับลงอีก
ขณะที่แนวทางลดความผันผวน ถ้าไม่ใช่นโยบายการเงิน ก็มีเพียงการเพิ่มสภาพคล่อง หรือการอัดฉีดทางการคลัง ซึ่งทำได้แค่เยียวยาความเสียหาย แต่ไม่สามารถหยุดความผันผวนได้แบบฉับพลัน จึงมีความเป็นไปได้มากที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะไม่กลับมาทัน จนท้ายที่สุด ตลาดอาจต้องจบภาวะกระทิงลงในปี 2020 นี้ด้วย
อย่างไรก็ดี ผมยังคงมีความหวัง และอยากให้ทุกคนในตลาดการเงินอย่าหมดหวัง
เพราะเชื่อเถอะว่าในท้ายที่สุด สิ่งที่จะต้องพบจุดจบจริงๆ ไม่ใช่ตลาดการเงิน แต่เป็นวิกฤตไวรัสระบาด
ที่ผมบอกเช่นนี้ไม่ได้เป็นการให้กำลังใจ แต่ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในท้ายที่สุด
เพราะความผันผวนคือของคู่กับตลาดการเงิน บางครั้งอาจต่ำ บางครั้งอาจสูง ที่ตลาดการเงินรอดมาได้เสมอ ไม่ได้เป็นเพราะแค่ความแข็งแกร่งอย่างเดียว แต่เป็นเพราะตลาดสามารถเปลี่ยนวิธีคิดให้เข้ากับสถานการณ์ได้ทุกครั้ง
เช่นในปัจจุบัน ก็จะเห็นว่าตลาดเปลี่ยนตัวเองจาก discounting mechanism ที่มองรายได้และอนาคต เช่นหุ้น ไปเป็น voting mechanism ที่มองหาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่นบอนด์ หรืออะไรที่สามารถดึงความผันผวนมาเป็นจุดเด่นได้ เช่นทองคำ
และสุดท้ายต้องท่องไว้ด้วยว่าตลาดตอนนี้เหมือนคนใจร้อนที่ติดไวรัส และอยากหายเร็วๆ แต่ทางที่ดีที่สุดอาจแค่ต้องตั้งสติ พบแพทย์ หรือพักผ่อน
เพราะถ้าภาวะความผันผวนสูงไม่ใช่ธรรมชาติของตลาด สุดท้ายก็ต้องปรับลดลงมา ในขณะเดียวกัน แม้ตลาดเช่นนี้จะเป็นวิกฤตระยะสั้น แต่ก็มักเป็นโอกาสของคนที่รู้จักปรับตัว และมีความอดทนในระยะยาวพร้อมกันเสมอ
อย่างที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ หนึ่งในนักลงทุนเก่งที่สุดในโลกชาวอเมริกันกล่าวไว้ว่า “ตลาดทุนคือเครื่องมือส่งผ่านความมั่งคั่งจากคนใจร้อนไปสู่ผู้มีขันติ”
ตั้งสติ ปรับพอร์ต และจับตาดูตอนอวสานของหลายเรื่องในตลาดการเงินช่วงนี้ไว้ให้ดีครับ