ที่กระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันนที่ 9 มีนาคม กระทรวงพาณิชย์ จะเข้มงวดในการนำกฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ที่ได้เพิ่มประกาศการดูแลปัญหาหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือ โดยกำหนดให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก และผู้แทนจำหน่ายหน้ากากอนามัย ต้องแจ้งข้อมูลต้นทุน ราคาซื้อ ราคาจำหน่าย ปริมาณการผลิต ปริมาณการส่งออก ปริมาณการคงเหลือ รวมทั้งราคาจำหน่าย ที่ต้องสอดคล้องกับต้นทุนทั้งหมด ต้องส่งข้อมูลทุกวันถึงอธิบดีกรมการค้าภายใน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พร้อมกับควบคุมราคาหน้ากากอนามัยแบบแถบเขียวเพื่อใช้ทางการแพทย์ ที่ผลิตจากโรงงาน 11 แห่ง ที่ผลิตเฉลี่ยวันละ 1.2 ล้านชิ้น หรือ 36 ล้านชิ้นต่อเดือน ในราคาขายปลีกไม่เกิน 2.50 บาท หากได้รับแจ้งเบาะแสและตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่ากระทำความผิดจริง จะถูกดำเนินการคดีกรณีไม่แจ้งสต๊อก/ครอบครองมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท และขายเกินราคาตจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในส่วนหน้ากากอนามัยทางเลือกไม่ได้ควบคุมราคาแต่กำหนดเพดานราคาถึงขายปลีกจากขั้นตอนผลิตหรือนำเข้าถึงผู้บริโภคบวกได้ไม่เกิน 60% ของต้นทุน ค่าใช้จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่มรวมกัน เช่น ต้นทุนรวม 1 บาท ขายได้ไม่เกิน 1.60 บาท พร้อมกับควบคุมราคาสินค้าเจลล้างมือ
“กรมการค้าภายในกำลังหารือและรวบรวมตัวเลขต้นทุนที่ผู้ผลิตต้องแบกรับภาระเพิ่มจากวัตุถดิบการผลิตที่สูงขึ้น โดยรัฐจะจ่ายชดเชยต้นทุนส่วนต่างที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้คงราคาขายปลีก 2.50 บาท คาดว่าจะนำเสนอเข้าที่ประชุมครม.ในวันที่ 10 มีนาคมนี้ “นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวถึงการจัดสรรหน้ากากอนามัยว่า การจัดสรรหน้ากากอนามัยของศูนย์การพิจารณาและกระจายหน้ากากอนามัย ซึ่งมีตัวแทนหน่วยงานจากกระทรวงสาธารณสุขรวมด้วย จะพิจารณาจัดสรรและนโยบายให้ความสำคัญกับสถานพยาบาล ทางการแพทย์ก่อน เพราะเป็นกลุ่มมีความเสี่ยง และปริมาณสูงสุด 7 แสนชิ้นต่อวัน อีกส่วนกระจายไปตามช่องทางต่างๆถึงประชาชนประมาณ 5 แสนชิ้นต่อวัน ก็จะกระจายไปกับค้าปลีก ร้านขายยา ร้านธงฟ้า การบินไทย องค์กรต่างๆ ซึ่งล่าสุดเตรียมจัดสรรล็อตแรก 5 หมื่นชิ้นให้กับกองทัพไทยที่ดูแลกลุ่มผีน้อย ซึ่งหากส่วนใดไม่เพียงพอก็ต้องปรับตัวเลขทุกวัน
นายจุรินทร์ กล่าวถึงกรณีสมาคมร้านขายยาระบุไม่ได้รับจัดสรรหน้ากาก หรือโรงพยาบาลบางแห่งระบุไม่ได้รับการจัดสรร นั้น ถ้าเป็นโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ศูนย์กระจายหน้ากากได้บริหารจัดการแบ่งสัดส่วนให้ไปแล้ว ด้วยความรับผิดชอบของกระทรวงสาธารณสุขโดยรองเลขาธิการ อย. ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะร่วมกับองค์การเภสัชกรรมรับไป 700,000 ชิ้น ถ้าเป็นโรงพยาบาลทั่วไประดับจังหวัดหรือโรงพยาบาลศูนย์ จัดอยู่ในเครือข่ายของปริมาณที่จัดสรรอยู่ใน 700,000 ชิ้น นั้นอยู่แล้ว และเป็นหน้าที่ที่กระทรวงสาธารณสุขต้องไปทำความเข้าใจและบริหารจัดการกันเองภายใน ถ้ารวมทั้งระบบแล้ว 700,000 ชิ้นไม่ พอให้มาประชุมร่วมกันในส่วนบริหารจัดการ ซึ่งมีตัวแทนกระทรวงอยู่แล้วประธานร่วมกับกรมการค้าภายในอาจต้องเพิ่มเป็น 750,000 ชิ้น หรือเพิ่มเป็น 800,000 ชิ้นเป็นต้น เพราะอย่างไรการผลิตจากโรงงานในไทยก็มีเพียง 1.2 ล้านชิ้น
สำหรับกรณีมีโพสต์พรรคพวกนักการเมืองกี่ยวข้องกักตุนและนำมาค้าทำกำไร นั้น กรมการค้าภายในอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูล และยืนยันทุกรายที่กระทำผิดตามประกาศที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 9 มีนาคม จะถูกดำเนินคดีทั้งหมด ซึ่งเชื่อว่าจากนี้จะพบการกระทำผิดเพิ่มขึ้น และอยากสนับสนุนให้ประชาชนใช้หน้ากากอนามัยผ้ามากขึ้น
นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ขณะนี้ได้ยกเลิกการกระจายหน้ากากอนามัยผ่านรถโมบาย 111 คันแล้ว และเพิ่มการผ่านร้านค้าปลีกแทน ส่วนการกระจายถึงร้านขายยา ตามขั้นตอนกระจายโดยตรงจาก 11 โรงงานถึงร้านขายยา ซึ่งทางศูนย์ฯจะทำหน้าที่ดูแลตัวเลขยอดผลิต 1.2 ล้านชิ้น/วันว่าจะปรับสัดส่วนกันอย่าง ซึ่งในส่วนของร้านขายยาบางวันได้รับการจัดสรรเกิน 2 หมื่นชิ้น/วัน การไม่ส่งเข้าสมาคมฯโดยตรงเพราะไม่ใช่รูปการค้า สำหรับกรณีโพสต์ขายหน้าอนามัย อยู่ระหว่างการเข้าตรวจสอบ หากพบการกระทำผิดและมีสินค้าจิรงก็จะทำการยึดสินค้าและดำเนินคดี
“ เรื่องโพสต์เกิดมาตลอด แต่ก็มีการล่อซื้อ และเข้าตรวจสอบ ก็ไม่มีของตามที่ได้โพสต์ โดนกินเงินฟรีแยะ บางส่วนก็นำเข้าจากเวียดนามและไม่ได้นำมาใช้ในการแพทย์ไทย อยากเตือนประชาชนระวังถูกมิจาชีพหลอกลวง ว่ามีหน้ากากจำนวนมาก และมีการโอนเงิน แต่พบว่าไม่ได้รับของตามจำนวนจริง ซึ่งมีการร้องเรียนเข้ามาจำนวนมากแล้ว ในกรณีที่ระบว่ามีกักตุนถึง 200 ล้านชิ้น หากผลิตในไทยที่มีกำลังผลิตวันละ 1.2 ล้านชิ้น ก็ต้องใช้เวลาผลิตเป็นปี ที่ผ่านมาก็ดำเนินการเกี่ยวกับหน้ากากแล้ว 89 ราย “ นายวิชัย กล่าว
