นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในรายการคลุกวงหุ้นว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ ปัจจัยที่ต้องติดตามคือ การทำวินโดว์เดรสซิ่ง หรือการซื้อหุ้นเพื่อปิดงวดบัญชี ในส่วนของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (เอ็นเอวี) ในไตรมาส 1/2563 และในส่วนของเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาในกองทุนรวมเพื่อการออม (เอสเอสเอฟ) ตามมาตรการพิเศษของภาครัฐ เพื่อลดหย่อนภาษีในวงเงินกว่า 2 แสนบาทต่อราย ซึ่งจะเข้ามาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนนี้ จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 รวมถึงการโชว์งบของหุ้นกลุ่มธนาคารด้วย
“ประเมินภาพการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ มองว่าจะยังแกว่งตัวในกรอบการเคลื่อนไหวที่ระดับ 1,080-1,135 จุด ส่วนกลยุทธ์ที่แนะนำในการลงทุนคือ เลือกลงทุนในหุ้นรายตัว” นายชัยยศกล่าว
นายชัยยศกล่าวว่า สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามคือ ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (พีเอ็มไอ) ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้บ่งชี้สภาวะทางเศรษฐกิจของภาคการผลิตและภาคบริการ ซึ่งเป็นดัชนีทั้งในภาคการผลิตและภาคการบริการของจีน ที่จะออกมาในวันที่ 30 มีนาคมนี้ ส่วนวันที่ 1 เมษายนนี้ จะเป็นดัชนีพีเอ็มไอในภาคการผลิตและตัวเลขการว่างงานของสหรัฐ
นายชัยยศกล่าวว่า สรุปภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยสามารถปรับระดับขึ้นมาได้ค่อนข้างดี โดยมีสาเหตุมาจากปัจจัยสนับสนุนจากต่างประเทศเป็นหลัก ได้แก่ การที่รัฐบาลและธนารคารกลางในประเทศต่างๆ มีการออกมาตรการกระตุ้น เพื่อรองรับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีการประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) แบบไม่จำกัดวงเงิน และรัฐบาสหรัฐ ได้ออกมาตรการในวงเงิน 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อมาช่วยเหลือในส่วนของภาคประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับความเดือนร้อน รวมถึงฝั่งสหภาพยุโรป (อียู) ที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ได้ออกวงเงินฉุกเฉินกว่า 37,000 ล้านยูโร ในการช่วยเหลือธุรกิจกลุ่มสายการบิน ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดีดตัว (รีบาวด์) ขึ้นมาได้
