หลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลงต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันกลับมาแข่งขันกันดุเดือดมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์บัตรสะสมแต้มได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
เรียกได้ว่าทุกวันนี้”บัตรสะสมแต้ม” กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของปั๊มน้ำมันในการกระตุ้นยอดขาย บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ค้าน้ำมัน “รายแรก” ที่เปิดตัวบัตรสะสมแต้ม “แก๊สโซฮอล์คลับ” และ “บัตรดีเซลคลับ” มียอดสมาชิกประมาณ 1 ล้าน 7 แสนราย โดยบัตรสะสมแต้มสามารถแลกสินค้า ได้ทั้ง รถจักรยานยนต์ โทรทัศน์ หม้อหุงข้าว และยังใช้ไปลดราคาสินค้าใน ร้านท็อปแวลู ร้านทอง ร้าน URBAN 360, SportIV360 และ Star Three Sixty โดยบัตรสะสมแต้มส่งผลให้ยอดขายน้ำมันเพิ่มขึ้นถึง 30%
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ปล่อยบัตร “บลูการ์ด”ออกมา เป็นทั้งบัตรสะสมคะแนนเพื่อใช้แทนเงินสด และแลกรางวัลหรือรับสิทธิพิเศษ โดยมีร้านค้าร่วมรายการมากมาย ทั้งใช้เป็นส่วนลดที่พัก โรงแรม ซื้อเครื่องดื่มคาเฟ่อเมซอน ใช้เป็นส่วนลดหรือแลกซื้อสินค้าในร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่
ขณะ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ที่ขึ้นชื่อว่าเน้นให้ความสำคัญกับคุณภาพน้ำมันมากกว่าการส่งเสริมการขายก็ยังปรับกลยุทธ์ปล่อยบัตร “เชลล์คลับสมาร์ท” โดยแค่สมัครก็ได้บัตรของขวัญจากห้างไปจนถึงบัตรของขวัญเพื่อซื้อสินค้าในห้างเทสโก้ โลตัส หากมีคะแนนสะสมถึง 8 พัน สามารถแลกซื้อกล้องติดรถยนต์ ได้
ในขณะที่บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ปล่อยบัตร “เอสโซ่ สไมล์” บัตรสะสมแต้มที่ใช้คะแนนแทนเงินสด หรือเลือกรับรางวัล ยังมีพันธมิตรอย่างเทสโก้ โลตัส และแอร์เอเชีย มีผู้ถือบัตรแล้ว 4 แสนราย คาดว่าว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีสมาชิกเพิ่มเป็น 1 ล้านราย ทั้งนี้ เอสโซ่มีพันมิตรหลักที่ร่วมรายการสะสมแต้มคือ เทสโก้ โลตัส ซื้อสินค้าครบ 10,000 บาท ได้แต้มสะสม 500 คะแนน ใช้เป็นส่วนลดเติมน้ำมันได้ 100 บาท รวมถึงนำไปซื้อตั๋วโดยสารสายการบินแอร์เอเชียได้ด้วย
บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี่ จำกัด (มหาชน) เจ้า ของปั๊มน้ำมันพีทีก็พัฒนาบัตร “แมกซ์การ์ด” (Max Card) ลงสู้ มียอดสมาชิกถึง 4 ล้าน 6แสนรายแล้ว คาดว่าในสิ้นปีนี้จะมีสมาชิกเพิ่มขึ้น 5 ล้าน 6 แสนราย โดยบัตรแมกซ์การ์ด ไม่ได้จำกัดอยู่ที่เฉพาะการเติมน้ำมันเท่านั้น ยังสามารถสะสมแต้มจากการเติมก๊าซ LPGได้ด้วย
สำหรับส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) น้ำมัน ในขณะนี้ ปตท.ครองตลาดสูงสุด 37.3% รองลงมาคือ เอสโซ่ 11.4% ตามด้วย บางจาก 11.3% เชลล์ 8.8% และ คาลเท็กซ์ 7.1%