‘สรท.’ จับมือ ‘ธปท.’ เร่งแก้ไขปัญหาอัตราแลกเปลี่ยน-เสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการ

‘สรท.’ จับมือ ‘ธปท.’ เร่งแก้ไขปัญหาอัตราแลกเปลี่ยน-เสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการ

รายงานข่าวจากสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ระบุว่า นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) และคณะกรรมการ สรท. ได้หารือกับคณะผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่านระบบการประชุมออนไลน์ โดย สรท. ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจ สถานการณ์ส่งออกรายอุตสาหกรรม และโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ เพื่อให้ ธปท. สามารถกำหนดนโยบายด้านการเงินเพื่อสนับสนุนภาคการค้าระหว่างประเทศได้อย่างเหมาะสม

ขณะที่ สรท. ได้นำเสนอสถานการณ์การส่งออกรายสินค้าในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด-19 และคาดการณ์ทิศทางการส่งออกรายสินค้าและภาพรวมของการส่งออกของไทยในปี 2563 ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะหดตัวถึง -8% ขณะที่ ศักยภาพด้านการลงทุนของไทยอยู่ในระดับที่น่าสนใจน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ทำให้ไม่อาจได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนซึ่งต้องการออกจากประเทศจีนเท่าที่ควร จึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุน การอำนวยความสะดวกทางการค้า และการเจรจาการค้าเสรีกับประเทศคู่ค้าสำคัญ เพื่อให้สามารถดึงดูดการลงทุนเข้าสู่ประเทศให้มากขึ้น

ทั้งนี้ สรท. และ ธปท. เห็นพ้องในการกำหนดมาตรการเพื่อดูแลค่าเงินบาทมิให้แข็งค่าเกินกว่าพื้นฐานที่แท้จริงทางเศรษฐกิจ จนก่อให้เกิดปัญหาต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออก โดยเฉพาะการพิจารณามาตรการเพื่อควบคุมปัจจัยที่เกิดจากการซื้อขายทองคำที่ยังไม่ได้ขึ้นรูปและการเคลื่อนย้ายเงินจากต่างประเทศของ Non-Resident เป็นต้น

นอกจากนี้ สรท. ได้ชี้แจงถึงอุปสรรค และแนวทางการใช้ประโยชน์สูงสุดจากมาตรการสนับสนุนสินเชื่อ (ซอฟต์โลน) อาทิ 1.ธนาคารพาณิชย์มีการกำหนดเงื่อนไขการอนุมัติวงเงินสินเชื่ออย่างเข้มงวด โดยเฉพาะกำหนดให้ต้องมีหลักทรัพย์ใหม่ในการขอสินเชื่อ ซึ่งในความเป็นจริงผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงต้องบริหารจัดการหลักทรัพย์เดิมตามขั้นตอนของธนาคารพาณิชย์ ทำให้การหาหลักทรัพย์ใหม่เพื่อขอสินเชื่อเป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการที่อยู่ในสภาวะเปราะบางทางธุรกิจไม่สามารถขอสินเชื่อเพื่อรักษาสภาพคล่องได้ทันท่วงที คณะกรรมการ สรท. จึงเน้นย้ำให้ ธปท. เร่งประสานการผ่อนคลายเงื่อนไขการประเมินให้มีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เพื่อการประกอบธุรกิจให้มีความต่อเนื่อง

Advertisement

2.กำหนดระยะเวลาโครงการ 2 ปี ค่อนข้างสั้นเนื่องจากการผลิตยังไม่ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์จากการหดตัวของอุปสงค์ในตลาดโลก ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถฟื้นฟูกิจการและชำระคืนเงินต้นได้ทัน จึงควรขยายระยะเวลาโครงการเป็น 4-5 ปี ให้สอดคล้องกับการฟื้นตัวของสภาพเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ธปท. ตอบรับพิจารณาแนวทางปฏิบัติให้สามารถใช้ประโยชน์จากโครงการได้มากขึ้น และในเบื้องต้นจะประสานงานกับธนาคารพาณิชย์ให้ปรับปรุงแนวทางการพิจารณาสินเชื่อเป็นกรณีพิเศษ เพื่อสามารถให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องแก่เอสเอ็มอีตามวัตถุประสงค์ของโครงการ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image