‘ศุภวุฒิ’ แนะ รบ.ดึงทุนสำรองแบงก์ชาติออกพันธบัตร หนุนเด็กไทยเรียนด้านสุขภาพ ขับเคลื่อนเป็นประเทศ Wellness โลก

เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ที่ Voice Space ถนนวิภาวดีรังสิต กลุ่มแคร์ (CARE) จัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมเสวนาหัวข้อ “150 วันอันตราย ทางเลือก หรือทางรอด” โดย นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร สมาชิกเริ่มต้นกลุ่มแคร์ กล่าวว่า ไทยต้องตั้งโจทย์ให้ถูก ซึ่งมี FAAT ดังนี้ 1.Food ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ระบุว่าประเทศไทยใช้ที่ดิน 50 เปอร์เซ็นต์เพื่อการเกษตร แต่จีดีพีที่มาจากการเกษตรมีเพียง 8 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งเราเป็นผู้ส่งออกอาหารสำคัญ 5 อย่าง ในจำนวนนี้มีแป้งกับน้ำตาล 3 อย่าง แม้กระทั่งสินค้า เช่น ทูน่ากระป๋อง สับปะรดกระป๋อง ก็เป็นการส่งออกที่มาร์จิ้นต่ำ ดังนั้น ต้องเปลี่ยนแปลงเรื่องอาหาร 2.Aging การแก่ตัวของประชากรไทย โดยสมาคมผู้ส่งออกอาหารสหรัฐประเมินว่าไทยเป็นประเทศที่เข้าสู่ประชากรสูงอายุ แม้จะยังมีรายได้น้อยอยู่มาก และจำนวนผู้ที่มีอายุในวัยแรงงานน้อยลง ฉะนั้น ต้องเพิ่มผลิตภาพ

นายศุภวุฒิกล่าวว่า 3.Automobiles ขอบอกว่าเราอย่าเป็น “ดีทรอยด์ ออฟ เอเชีย” เลย เพราะหากดูมูลค่าหุ้นของดีทรอยด์ มีจีเอ็ม เฟียต-ไครสเลอร์ และฟอร์ด บวกกันยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของเทสลา ขณะเดียวกันเทสลาได้ร่วมมือกับบริษัท CATL กำลังจะผลิตลิเทียมไออนแบตเตอรี ใช้งานได้ 1 ล้านไมล์ หรือ 1.6 ล้านกิโลเมตร ซึ่งไม่ทราบว่ารถที่เราผลิตอยู่ในปัจจุบันจะขายได้อย่างไร 4.Tourism ไตรมาส 2 และ 3 เราแทบไม่มีรายได้จากการท่องเที่ยวเลย รัฐบาลคาดหวังว่าไตรมาส 4 จะมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาบ้าง แต่ก็จำกัดอยู่ที่ 1 พันคนต่อวัน ปกติเรามีนักท่องเที่ยวไตรมาสละประมาณ 10 ล้านคน ดังนั้น จึงเหลือรายได้การท่องเที่ยวประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นสัดส่วนของจีดีพีประมาณ 12-15 เปอร์เซ็นต์หายไป ส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจต่างๆ

นายศุภวุฒิกล่าวว่า หลายคนอาจไม่ทราว่าแบงก์ชาติให้ธนาคารผ่อนปรนลูกหนี้ที่คิดว่าจะมีปัญหา โดยลูกหนี้ที่เข้าร่วมรายการนี้เขาใช้คำว่า “การให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงิน ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้” เท่าที่ดูแล้วส่วนแรกถูก แต่ส่วนหลังเท่าที่ทราบคือยังไม่มีการปรับโครงสร้างอะไร อย่างไรก็ตาม มีผู้เข้าร่วมโครงการนี้ 15 ล้านคน มูลค่า 6.68 ล้านล้านบาท

“ลองคิดภาพมูลค่าหนี้กว่า 1 ใน 3 หยุดพักชำระดอกเบี้ย หยุดคืนเงินต้น และแบงก์ชาติให้พักประมาณ 6 เดือน คำถามคือการกลับมาราวๆ ปลายปี ต้องประเมินว่าในกลุ่มนี้ใครจะใช้หนี้คืนได้บ้าง? ถ้าเศรษฐกิจไม่ฟื้น ถ้ามีปัญหา สามารถแบ่งได้ว่า ในจำนวนนี้มีลูกหนี้ที่เป็นประชาชน ซึ่งเป็นหนี้ส่วนบุคคลประมาณ 13.9 ล้านคน ภาคธุรกิจ 1.1 ล้านธุรกิจ ในจำนวนนี้มีธุรกิจใหญ่ไม่กี่พันราย ที่เหลือเป็นเอสเอ็มอีซึ่งมีมูลค่าหนี้ราว 2 ล้านล้านบาท ถามว่า 2 ล้านล้านบามมีมาตรการรองรับอย่างไร?

Advertisement

 “อย่างที่แบงก์ชาติมีมาตรการซอฟต์โลน 5 แสนล้านบาท เห็นแล้วว่า ไม่ค่อยพอ น่าเป็นห่วงว่านี่จะเป็นระเบิดเวลา ผมเองไม่มีคำตอบ ส่วนคำตอบของรัฐบาลคืองบกระตุ้นเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท โดยคำที่ออกมาเยอะสุดคือ ถนน ก่อสร้าง ไม่แน่ใจว่าตรงกับสิ่งที่เราต้องการหรือไม่ แต่ส่วนตัวเห็นว่านี่เป็นกรณีที่มีการเสนอโครงการมากมายกว่า 3 หมื่นโครงการ แต่ภาพใหญ่ไม่บอกว่าจะพาประเทศไปทางไหน เกรงว่าประเทศจะหลงทาง” นายศุภวุฒิกล่าว

นายศุภวุฒิกล่าวว่า ในอนาคตอยากประเทศไทยพลิกผัน ฟื้นฟู เปลี่ยนแปลงโครงสร้างให้เป็นประเทศที่คนกล่าวถึงว่า ไทยเป็นประเทศที่เกี่ยวข้องกับ Wellness ความสมบูรณ์ อยู่ดี มีชีวิตที่ดี เรียกเราว่า Blue zone for longevity ขณะเดียวกันก็สามารถรับความเป็นไฮเทคขึ้นมา โดยไม่สูญเสียความเป็นไฮทัช หรืออัธยาศัยที่ดียังอยู่ ซึ่งอนาคตที่ว่านี้คือประเทศไทยเป็นที่ที่มีโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลก ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ มหาวิทยาลัยระดับโลกมาตั้งแคมปัส ผลิตบุคลากรด้านสุขภาพ อีกทั้งผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เปลี่ยนมาผลิตชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์

“ข้อเสนอคือ นำทุนสำรองของแบงก์ชาติเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ที่มีอยู่ หรือประมาณ 7 หมื่นกว่าล้านบาท ให้รัฐบาลออกพันธบัตรไทย ดอกเบี้ย 0.01 เปอร์เซ็นต์ จ่ายคืนต้น 100 ปี โดยต้นทุนที่รัฐบาลจะจ่ายปีละ 7 ล้านบาท ทำให้มีทุนให้เด็กไทยไปศึกษาต่างประเทศ 250 ทุนต่อปีไปอีก 20 ปีข้างหน้า แต่ละทุนคือ 14.9 ล้านบาท แล้วให้มาพัฒนา ขับเคลื่อนไทยเป็นประเทศ Wellness ของโลก” นายศุภวุฒิกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image